ประมาณร้อยปีก่อนเป็นปลายสมัยราชวงศ์ชิง ครั้งนั้น ไต้หวันยังเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน ที่อำเภอไทเป ตำบลปาตู่ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อฮุ่ยโกว เธอถูกยกให้เป็นลูกสะใภ้บ้านแซ่กัวตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน มิใช่เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน แต่เป็นเพราะแม่ของเธอมีลูกมาก และต้องทำงานบ้านเองทุกอย่างจนไม่อาจเลี้ยงดูลูกที่เกิดมาใหม่ได้อีก ครอบครัวแซ่กัวนั้นนอกจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นพ่อแม่ของเด็กชายชิงจือแล้ว ยังมีย่าแก่ ๆ อีกคนหนึ่ง เป็นครอบครัวที่สงบสุขและค่อนข้างจะเงียบเหงา ดังนั้นเมื่อได้หนูน้อยฮุ่ยโกวมาเลี้ยง จึงนำความสุขความยินดีมาสู่ครอบครัวแซ่กัวเป็นอันมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนูน้อยฮุ่ยโกวจากเด็กทารกกลายเป็นแม่หนูไว้หางเปียน่ารักและเติบโตเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด รอบรู้ขยันขันแข็ง ทุกคนในครอบครัวรักเธอมาก ขณะเดียวกันเด็กชายชิงจือก็เติบโตเป็นชายหนุ่มน่ารักอายุได้ 22 ปี พ่อแม่เห็นว่าเด็กทั้งสองรักใคร่กันดีจึงได้กำหนดวันอันเป็นมงคล แล้วจัดพิธีแต่งงานให้กับเด็กทั้งสองอย่างถูกต้อง ชีวิตแต่งงานของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข ความราบรื่น ชิงจือไปทำงานค้าขายที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอจีหลงไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก ส่วนฮุ่ยโกวอยู่บ้านปรนนิบัติรับใช้ย่าและพ่อแม่ของสามีด้วยความเคารพกตัญญู แต่ความสุขความราบรื่นก็มิได้คงอยู่ตลอดไป
ไม่นานต่อมา ญี่ปุ่นยกทัพเข้ารุกรานประเทศจีนกวางสูฮ่องเต้ผู้ด้อยสมรรถภาพได้แก้ปัญหาสงครามด้วยการยกมณฑลไต้หวันทั้งเกาะให้แก่ญี่ปุ่นไป ประชาชนชาวจีนบนเกาะไต้หวันจึงต้องมีชีวิตอยู่อย่างกลัวตาย ภายใต้การปกครองอย่างกดขี่ทารุณของญี่ปุ่น ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นกาฬโรคยังระบาดครั้งใหญ่กวาดล้างชีวิตผู้คนไปมากมาย พ่อแม่ของชิงจือนอนป่วยอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายตามกันไป
จากนั้นเป็นต้นมา ความทุกข์ความโศกเศร้าก็เข้าครอบงำครอบครัวแซ่กัว เหมือนความมืดของกลางคืนที่คืบคลานเข้ามาทุก ๆ ด้าน
วันหนึ่งขณะที่ชิงจือกำลังขนถ่ายสินค้าอยู่ในร้านที่เขาทำงานอยู่ บังเอิญลังไม้บรรจุสินค้าหนักอึ้งชั้นบนโค่นลงมาชิงจือหลบไม่ทัน ขาข้างซ้ายถูกทับอย่างแรง กระดูกและเนื้อแหลกเหลวทันที ทางร้านรีบนำส่งโรงพยาบาล เขาถูกตัดขาข้างซ้ายทิ้งโดยไม่มีทางเลือกเลย แม้ว่าฮุ่ยโกวจะเป็นหญิงที่เข้มแข็งอดทน แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นติด ๆ กันอย่างรุนแรงอย่างนี้ก็ทำให้เธอต้องนอนร้องไห้อยู่หลายคืน แต่กระนั้นก็ตาม ในเวลากลางวันต่อหน้าย่าผู้ชราฮุ่ยโกวยังคงยิ้มอย่างสดชื่นอ่อนโยน ดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอยู่เช่นเดิม เมื่อชิงจือกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน เขากลายเป็นคนพิการและตกงาน ทางบ้านไม่มีเงินสำรองและรายได้อะไรเลยจึงจำใจต้องขายที่ขายบ้านที่อยู่อาศัย เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย แล้วสามชีวิตก็ย้ายไปอยู่ในกระท่อมมุงแฝกเชิงเขาตำบลยุ่ยฟัง หลังกระท่อมที่อยู่อาศัย มีถ้ำมืดที่ไม่รู้ว่าความลึกเท่าใดอยู่ถ้ำหนึ่ง รอบ ๆ ถ้ำเต็มไปด้วยขวากหนามหญ้ารก มีต้นไม้ใหญ่อยู่ปากถ้ำ เบื้องหน้าเป็นสระน้ำไม่ใหญ่นัก แต่น้ำในสระใสสะอาด ฮุ่ยโกวนำเสื้อผ้ามาซักในสระนี้ทุกเช้า พอมีเวลาว่างก็ปราบพื้นที่บริเวณสระน้ำ แล้วหาเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกเพื่อทุ่นค่าใช้จ่าย ชีวิตที่สันโดษสงบเงียบ
ผ่านไปสามปี เงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญที่ได้จากการขายที่ขายบ้าน ถูกใช้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ แต่ถึงจะเจียดใช้อย่างไรเมื่อมีแต่ทางจ่าย โดยไม่มีทางรับ เงินก็มีแต่ร่อยหรอลง และในที่สุดก็ใกล้จะหมด ฮุ่ยโกวยังคงเป็นหลานสะใภ้และภรรยาที่ดีโดยไม่เปลี่ยนแปลง เธอปรนนิบัติย่าและสามีเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด
ในที่สุดเมื่อข้าวสารกำมือสุดท้ายหมดลง ฮุ่ยโกวก็จำต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเธอเอง แม่แนะนำเธอว่า
"อย่าทนอยู่กับความทุกข์ยากต่อไปเลย ผัวเจ้าก็พิการหาเลี้ยงไม่ได้ ควรจะแต่งงานใหม่เสียตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก"
เมื่อได้ยินแม่แนะอย่างนี้ ในสมองของฮุ่ยโกวปรากฎภาพย่าเฒ่า ซึ่งเธอต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ และสามีที่เหลือแต่ขาข้างเดียวขึ้นมาทันที แล้วน้ำตาของเธอก็หยดสู่พื้น เธอตอบแม่ว่า
"ฮุ่ยโกวรู้ว่าแม่หวังดี แต่จะให้ฮุ่ยโกวเนรคุณต่อสามีและครอบครัวของสามีผู้มีพระคุณนั้น ฮุ่ยโกวทำไม่ได้"
เมื่อฮุ่ยโกวปฏิเสธอย่างนี้แล้วแม่ก็ไม่พอใจ และไม่สนใจการกลับมาของฮุ่ยโกวอีก การจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจึงสะดุดอยู่แค่ลำคอ โชคดีที่พี่สะใภ้ของฮุ่ยโกวเป็นคนดี มีความเข้าใจ นางจูงมือน้องสามีเข้าไปในห้องส่วนตัวซับน้ำตาให้และยัดเยียดเงินยี่สิบเหรียญลงไปในมือน้องสามี ขณะนั้นเป็นเวลาหน้าหนาว เสื้อตัวเก่าที่ใส่มานานของฮุ่ยโกวบางเกินกว่าจะต้านลมหนาวได้ พี่สะใภ้จึงคะยั้นคะยอแกมบังคับจะพาฮุ่ยโกวไปซื้อผ้าตัดเสื้อที่อำเภอจีหลง ฮุ่ยโกวเติบโตขึ้นในชนบท แม้สามีจะเคยทำงานอยู่ที่อำเภอจีหลง แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง เธอจึงตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงของขายและผู้คนในอำเภอจีหลงยิ่งนัก เมื่อพี่สะใภ้เลือกซื้อผ้าให้เธอได้แล้ว ฮุ่ยโกวก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องจักสานแห่งหนึ่ง เธอได้ความคิดขึ้นมาว่า บนภูเขาหลังกระท่อมที่เธออาศัยอยู่มีต้นไผ่ขึ้นอยู่มากมาย หากเธอจะตัดลงมาให้สามีลองจักลองสานเป็นภาชนะบางอย่างแล้วนำมาขายบ้างก็คงจะดี
เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่ฮุ่ยโกวทำก็คือรีบตัดเย็บเสื้อผ้าที่พี่สะใภ้ซื้อให้ชิ้นนั้น แต่มิใช่เพื่อตัวเอง เธอตัดเย็บให้ย่าเพราะย่าก็ไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่มาหลายปีเต็มที
หลังจากนั้นงานประดิษฐ์เครื่องจักสานก็เริ่มขึ้น ฮุ่ยโกวงานหนักหน่อย เธอจะต้องเป็นคนขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ลงมาเพื่อให้ชิงจือสามีซึ่งพิการเหลือแต่ขาข้างเดียวของเธอเป็นผู้จักตอก แล้วทั้งสองก็จะขะมักเขม้นช่วยกันสาน แรกทีเดียวผลงานที่ทำออกมาทั้งหยาบ ทั้งไม่ได้รูปร่างสัดส่วน แต่ทั้งสองก็ไม่ละความพยายาม จนในที่สุดความชำนาญก็เกิดขึ้น ผลงานก็ประณีตงดงาม เมื่อรวบรวมได้พอประมาณแล้ว
วันหนึ่งฮุ่ยโกวก็หาบไปขายในอำเภอจีหลง ปรากฎว่าเป็นที่ชื่นชอบของตลาดเธอขายหมดอย่างรวดเร็ว ได้เงินพอซื้อข้าว เกลือ น้ำมัน ถั่ว กลับมาด้วย เป็นกำลังใจให้ฮุ่ยโกวและชิงจือมีมานะพยายามยิ่งขึ้น ขณะนั้นย่าอายุเจ็ดสิบกว่ามากแล้ว ชีวิตที่แร้นแค้นทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม อ่อนแอ ฟันฟางแทบไม่มีเหลือ อาหารการกินได้แต่ของอ่อน ๆ โดยเฉพาะย่าชอบกินไข่เป็ด
บัดนี้ฮุ่ยโกวพอมีเงินที่จะซื้อไข่เป็ดมาเลี้ยงดูย่าได้แล้ว และด้วยความกตัญญูจึงทำให้เธอคิดต่อไปว่าหลายวันกว่าเธอจะได้เข้าไปขายเครื่องจักสานในอำเภอเสียที ไข่เป็ดที่ซื้อมาเพื่อเก็บไว้กินก็จะไม่สด สู้ซื้อลูกเป็ดมาเลี้ยงไว้ออกไข่ไม่ได้ทุ่นเงินกว่าและได้ไข่สด ๆ กินอีกด้วย คิดได้ดังนั้นแล้ว คราวต่อไปเมื่อฮุ่ยโกวนำเครื่องจักสานเข้าไปขายในอำเภอ เธอก็เลือกซื้อลูกเป็ดตัวเมียกลับมาด้วยหลายตัว ฮุ่ยโกวทำเล้าไว้ใกล้ ๆ สระน้ำหลังบ้าน ถึงเวลาก็ปล่อยให้เป็ดลงไปว่ายน้ำไซ้หาอะไรกินตามธรรมชาติ เป็ดเหล่านั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและไข่ให้กินอย่างสม่ำเสมอ ชะรอยจะเป็นด้วยความกตัญญูของฮุ่ยโกวที่ทำให้เทพยดาฟ้าดินได้ประจักษ์
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฮุ่ยโกวกำลังทำความสะอาดลานบ้านก็บังเอิญเหลือบไปเห็นขี้เป็ดที่กำลังกวาดอยู่ มีก้อนกรวดเล็ก ๆ เป็นสีทองปนอยู่หลายเม็ด ด้วยความแปลกใจ ฮุ่ยโกวจึงเขี่ยแยกออกมาแล้วนำไปล้างจนสะอาด เธอไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นกรวดทองไปได้ จึงนำไปให้สามีดู ชิงจือรับไปดูแล้วก็ส่ายหน้าบอกว่า
"เราเป็นคนมีกรรมอย่างนี้ ทองที่ไหนจะมาถึงมือเราได้"
ฮุ่ยโกวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ยังเก็บก้อนกรวดสีทองเม็ดเท่าถั่วเหลืองเหล่านั้นไว้ วันรุ่นขึ้น เมื่อเธอนำเครื่องจักสานเข้าไปขายในอำเภอเธอก็ลองเสี่ยงนำก้อนกรวดเหล่านั้นเข้าไปในร้านซื้อขายทอง เธอส่งให้เจ้าของร้านโดยไม่พูดว่าอะไร เจ้าของร้านกลับถามเธอว่า "จะขายใช่ไหม" ฮุ่ยโกวพยักหน้า เจ้าของร้านก็นำไปชั่ง แล้วมอบเงินสิบกว่าเหรียญให้แก่เธอ ฮุ่ยโกวระงับความตื่นเต้นดีใจไว้ เอื้อมมือไปรับเงินแล้วเดินบ้างวิ่งบ้างกลับมาบ้าน
"ชิงจือ ชิงจือ มันเป็นทองจริง ๆ "
ฮุ่ยโกวตะโกนบอกสามีตั้งแต่ก่อนถึงประตูบ้าน เธอเล่าทุกอย่างให้สามีฟัง แล้วทั้งสองก็รีบเข้าไปในเล้าเป็ดช่วยกันกวาดเก็บขี้เป็ดไปล้างเพื่อรวบรวมกรวดทองไปขายทั้งสองทำอย่างนี้อยู่หลายวันจนขี้เป็ดในเล้าและตามที่ต่าง ๆ บริเวณที่เป็ดเดินไปถ่ายไว้ได้เก็บนำมาล้างจนหมด คราวนั้นฮุ่ยโกวนำไปขายในอำเภอ เธอได้เงินมาหลายร้อยเหรียญ ทั้งสองสังเกตเห็นว่าเป็ดเหล่านี้นอกจากจะไซ้ดินไซ้หญ้ากินอยู่รอบ ๆ สระแล้ว มันยังพากันไปหากินในถ้ำ ข้างสระ
ถ้าเช่นนั้น ก้อนกรวดทองจะต้องมีอยู่ในถ้ำเป็นแน่ ฮุ่ยโกวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าเขา แล้วก็เข้าไปกอบโกยกรวดในถ้ำออกมาล้าง ปรากฎว่าเป็นจริงดังคาด มีกรวดทองมากมายอยู่ในถ้ำนั้น ทั้งสองสามีภรรยาช่วยกันนำมาล้างแล้วไปขาย เงินทองที่ได้ก็รวบรวมไว้ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็รวบรวมได้หมื่นกว่าเหรียญ เมื่อกรวดทองในถ้ำหมดแล้ว ทั้งสองก็เอาเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปซื้อร้านค้าในอำเภอจีหลง พาย่าไปอยู่ดูแลให้มีความสุขความสบายยิ่งขึ้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสามชีวิตก็กลายเป็นชาวอำเภอจีหลงที่มีฐานะมั่งคั่งสมบูรณ์ครอบครัวหนึ่ง บัดนี้เกือบร้อยปีผ่านไป ชาวอำเภอจีหลงยังคงเล่าขานกันถึงเรื่องราวเหล่านั้น ลูกหลานของฮุ่ยโกวและชิงจือก็ยังคงเป็นพ่อค้าคหบดีที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในอำเภอจีหลงนั่นเอง
ที่เมืองไถจง นาย ก. ขาพิการตั้งแต่เด็ก แต่ขยันขันแข็งในการทำมาหากิน จึงมีฐานะค่อนข้างดี เม...