พระโพธิธรรม
ใจได้ฌานรู้ตัวมาบรรลุ ตะเข็มหลุดสุคนธ์เผยปัญญาฉาน
สุขสบายบนหอทิพย์พิมาน ธรรมญาณตื่นอาตามลักษณ์หลุดพ้น
“การบรรลุ” หลักการก็คือใจของตนเอง ทุกสิ่งล้วนเริ่มจากกายตนจึงสามารถช่วยตนเองให้บรรลุ ให้กำหนดใจตามพร้อมดำเนินชีวิตร่วมกับรูปกายอันจอมปลอม จึงจะสามารถหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง แต่ละคนล้วนติดแน่นกับรูปกายของตน เป็นเพราะมุ่งหวังจึงกระทำไป หรือเพราะโลภจึงเที่ยวแสวงหา จนทำให้ตนเองหลงทาง จึงห่างเหินจากเส้นทางปกติไป แล้วเดินสู่ทางมืด จึงไม่อาจรู้จักตน มองตนเองไม่ชัดเจน เมื่อใจของตนถูกปิดบัง จึงทำให้ตนหลงไหล อุดมการณ์ท้อถอยเปลี่ยนแปลง พลังที่จะรู้ตัวตื่นหมดไป ปัญญาก็ถดถอยน้อยลง ในที่สุดก็อ่อนแอไม่ก้าวหน้า ความสง่าน่าเลื่อมใสถูกกวาดทิ้งไป นอกเสียจากการหลุดพ้นจากความหลงใหลในอัตตาแล้ว ยังสามารถทำให้ตนมั่นคงเป็นสุขและสำเร็จ ให้ใจที่เมตตาได้เผยปรากฏออกมาเพื่อไปขจัดความเจ็บปวด ทุกข์เข็ญ และเคราะห์ภัยที่หาประมาณมิได้ นำความผาสุขแก่ผู้อื่น ก็มีเพียงทางนี้เท่านั้น จึงจะสามารถฝึกฝนชีวิตที่เผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างจริงจัง และได้บรรลุถึงควาามงามสมบูรณ์ของชีวิตที่เราแสวงหา
“การบรรลุ” คือต้องหลุดพ้นจาก อาตมลักษณะ บุคคลลักษณะ สัตวลักษณะ และชีวะลักษณะ เห็นธาตุเดิมของชีวิตได้อย่างโปร่งใส ตลอดจนลุถึงความหมายชองชีวิตนิรันดร์ ที่กล่าวว่าอาตมลักษณะก็คือการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง บุคคลลักษณะก็คือการชี้ผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฐิ สัตวลักษณะคือการกล่าวถึงบรรทัดฐานการมีชีวิตที่ไม่สมเหตุผล ชีวะลักษณะคือการกล่าวถึงชีวิตมนุษย์ที่ทำตัวเป็นอมตะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งกีดขวางของ “การบรรลุ” หากยังยึดติดอยู่ ไม่เพียงเป็นมูลกำเนิดของกรรมเท่านั้น ยังเป็นการทำลายสาเหตุความชื่นบานของชีวิตอันแยบคายอีกด้วย
“การบรรลุ” ธาตุเดิมของการบรรลุจะมองเห็นเหตุปัจจัยของกรรม การบรรลุต้องมองเห็นขั้นตอนความเกี่ยวข้องของเหตุปัจจัยโดยตลอดหมายความว่าเห็นความเกี่ยวข้องกันของเหตุและผลจึงสามารถเกิดปัญญา จึงสามารถเข้าถึงการบรรลุ สรรพสัตว์ผู้มีอารมณ์ ตั้งแต่เริ่มแรกมาตลอดก็เกิดอยู่บนวงเวียนของเหตุปัจจัย ไม่สามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่หมุนเวียนของเหตุปัจจัย มองให้ทะลุสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหลาย รูปลักษณ์ทั้งหลาย ปัญญาทั้งหลาย ล้วนเป็นเหตุปัจจัยกัน การไม่เมามัวในเหตุปัจจัยก็คือการรู้สึกตื่นการมองไม่ประจักษ์แจ้งในเหตุปัจจัยก็คือความหลงใหล นั่นก็คือถูกเหตุปัจจัยชักจูง จึงเป็นผู้ยึดติดในรูปลักษณ์ ที่สุดก็สร้างกรรม
ขั้นต่อไป “การลรรลุ” ต้องสามารถมองทะลุรูปลักษณ์ของเหตุปัจจัยการเกิดสัมพันธ์กับเหตุปัจจัยเป็นเพียงการแสดงลักษณะอันหนึ่งเท่านั้น หาใช่เป็นกายแท้ไม่ มันเป็นเพียงเงาของตัวจริงเท่านั้น จะต้องเอาความรู้สึกและการรู้ที่ถูกต้องไปดูให้ประจักษ์แจ้ง ชีวิตที่ยินดี โกรธ โศก สบาย ล้วนเหมือนการแสดงละครเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องจดจำความสำคัญของชีวิตคือเอาตัวเองแสดงให้ดี โดยไม่ไปถือสาว่าถึงรูปแบบการแสดง เพียงให้ตนเองมองให้ออกว่าเป็นเพียงฉากหนึ่งของเหตุปัจจัยก็พอแล้ว เพราะที่สุดแล้วมันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง
มนุษย์ไม่อาจหลบหนีโซ่ตรวนของเหตุปัจจัย แต่ก็ไม่ไปหลงในเหตุปัจจัยจนคล้อยตามไป แล้วแบกรับเหตุปัจจัย ผ่านชีวิตที่ปรากฏชัด ด้วยแบบนี้ความกังวลและอุปสรรคทั้งปวงก็จะมลายหมดไปเอง
“การบรรลุ” เริ่มจากกายใจ จดจำให้ชัดแจ้งว่า อาตมลักษณะเป็นเพียงการประชุมกันตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง เมื่อถึงคราวที่ตัวจริงรู้ตัวตื่น ก็อาจรู้ตัวบรรลุได้ จากการบรรลุขั้นต้นไปถึงการบรรลุที่สุด เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานวัน ก็จะเห็นตัวเราที่แท้จริงได้เอง โดยไม่อาจมีตัวเราเองที่มีทรัพย์สินและชื่อเสียง ยังไม่อาจมีตัวเราเองที่กุมอำนาจและตำแหน่ง และก็ไม่มีตัวเราเองที่กังวลและทุกข์ยาก เมื่อมองทะลุในเหตุปัจจัยของรูปลักษณ์จนชัดเจนแล้ว เห็นทะลุปลอดโปร่งแล้ว ก็จะพบกับความอิสระเสรีและสุขสบายด้วยตัวของตัวเอง
“การบรรลุ” เริ่มแรกจากการรู้ตัวตื่นจนไปปรากฏ แล้วค่อย ๆ บำเพ็ญก็จะบรรลุได้เองและโปรดได้เอง การบรรลุคือการเห็นประจักษ์แจ้ง การโปรดคือการเคลื่อนไหวปฏิบัติ ค่อย ๆ ไปจนถึงการบรรลุถึงที่สุดอันเป็นเป้าหมายสุดท้าย ขั้นตอนจากการบรรลุน้อย ๆ ค่อย ๆบรรลุขึ้น บรรลุถึงที่สุด จากความหลงมัวเมาถึงการรู้ตัว ถึงการโปรด ตลอดจนถึงการบรรลุ ก็คือการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ พ้นจากปุถุชนสู่อริยชน