mindcyber 5 months ago

โยนบาปให้สวรรค์

   ในต้นสมัยเซวียนเหอ ราชวงศ์ซ่ง ได้ปรากฏคดีฆาตกรรมคดีหนึ่งที่ท้าทาย  และชวนให้คิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนดำรงรักษากฏแห่งกรรมอยู่อย่างเที่ยงตรงเสมอ

    อำเภอหลินชวนเป็นอำเภอใหญ่ที่สุดในมณฑลเจียงซีมีราษฎรอยู่หนาแน่นถึงสองหมื่นกว่าหลังคาเรือน ยากแก่การปกครอง คดีอาชญากรรมต่างๆ เกิดขึ้นเสมอ ทังมู่ เป็นขุนนางมือหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกให้มาเป็นเจ้าเมือง

    ครั้นมาดำรงตำแหน่งได้ไม่นานคดีประหลาดก็เกิดขึ้นเหมือนท้าทายความสามารถของเจ้าเมืองคนใหม่ทันที ที่เมืองนี้มีชายวัย 40 ปีเศษผู้หนึ่ง แซ่จาง อาชีพฆ่าหมูขาย 20 กว่าปีที่ผ่านมา เขาฆ่าหมูมาแล้วไม่น้อยกว่าสองสามพันตัว คนที่มีอาชีพฆ่าหมูขาย มิใช่ว่าจะเป็นคนใจดำอำมหิตไปเสียหมด เขาสะท้านกับมีดขาววับที่จ้วงแทงลงไปบนเนื้อหนังของชีวิตที่ดิ้นได้ เลือดแดงฉานที่พุ่งกระฉูดออกมาจากคมมีด และชีวิตที่ดับดิ้นลงไปคามือ มโนธรรมปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา ระยะนี้นายจางอ้วนขึ้นมากจนเหมือนหมู หน้าร้อนเขาจะเปลือยร่างท่อนบนล่อนจ้อน ขะมักเขม้นขูดทำความสะอาดหนังหมูที่เพิ่งฆ่าเสร็จ เขารู้สึกว่าสีของหนังหมูไม่ต่างกับสีผิวของเขาเลย จิตใต้สำนึกได้เตือนให้เขารู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกฆ่าตายเหมือนอย่างหมูที่เขาฆ่าก็ได้ หมู่นี้เขายิ่งเกิดความหวาดผวาหนักเข้า จนต้องตัดสินใจเลิกฆ่าหมู ถึงแม้ว่ามันจะทำเงินให้เขาไม่น้อยก็ตาม เขาหันหน้าเข้าวัดหวังพึ่งศาสนา เพื่อชำระล้างบาปในใจให้คลายลง แต่หลวงพ่อบอกว่าเขาทำบาปไว้มากจะยังไม่บวชให้ตอนนี้ ขอให้ตั้งใจสวดมนต์ภาวนาวันละสามร้อยจบจนครบสามปีเสียก่อน นายจางยิ่งรู้สึกถึงความบาปหนาของตนเองยิ่งขึ้นเขาพูดเสมอว่า สักวันหนึ่งเขาคงถูกฆ่าเหมือนอย่างหมูเป็นแน่ ไม่ว่าใครจะปลอบขวัญอย่างไร นายจางก็ไม่คลายความประหวั่นพรั่นใจลงได้เลย

    คนอ้วนมักจะขี้ร้อน นายจางก็เช่นกัน เขาเกลียดกลัวอากาศร้อนเอามากๆ  จนกลายเป็นลางสังหรณ์ว่าเขาจะต้องถูกฆ่าตายในหน้าร้อน มีคนถามว่าเพราะเหตุใด "อากาศร้อนจัด ทำให้ศพขึ้นอืด และเน่าเหม็นเร็ว"  เขาตอบ

     คนที่ได้ฟังต่างก็หัวเราะที่นายจางตีตนไปก่อนไข้บางคนแกล้งสัพยอกเขาว่า "เมื่อก่อนคงเอาเนื้อเน่าแล้วมาขายน่ะซิ จึงห่วงว่าตัวจะเน่าเหม็น"

    นายจางไม่ได้ถือโกรธ เขาตั้งใจสวดมนต์ภาวนาและอธิษฐานว่า "ถ้าลูกช้างมีอันเป็นไปต้องตาย  ก็ขออย่าให้ตายหน้าร้อนให้ศพเน่าเหม็นอุจาดแก่ใครเลย"

    ต่อมาไม่นาน นายจางก็หายไปจากบ้าน เมียทั้งสองของนายจางเที่ยวถามหาตามบ้านเพื่อนและวัดที่คิดว่านายจางจะแวะไป  แต่ก็ไม่ได้ความอะไร จนกระทั่งวันที่สาม ก็มีคนเดินผ่านโกดังร้างแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่เก็บตุนสินค้า ต่อมาเกิดชำรุดทรุดโทรม หลังคามีรอยรั่วหลายแห่งทำให้น้ำฝนเจิ่งในโกดังเมื่อฝนตกลงมาทุกครั้ง คนที่เดินผ่านโกดังแห่งนี้ แปลกใจที่ประตูโกดังที่เคยปิดสนิทกลับเปิดทิ้งไว้ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู และทันใดนั้น เขาก็เห็นศพของใครคนหนึ่ง นอนเปลือยกายอยู่ในโกดังนั้นเขารีบวิ่งไปบอกผู้ใหญ่บ้านทันที ผู้คนแห่กันมาดูปรากฏการณ์ประหลาดในโกดังอย่างเนืองแน่น นายจางถูกฆ่าตายจริงๆ อย่างที่เขาเคยสังหรณ์เอาไว้และในเวลานั้นก็เป็นฤดูร้อนเสียด้วย ความเพียรพยายามอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเขาไร้ผลกระนั้นหรือ หามิได้ ศพนายจางมิได้ขึ้นอืด ไม่มีโอกาสได้ส่งกลิ่นเหม็นเน่าร่างของเขาถูกอัดอยู่ในก้อนน้ำแข็ง เขาโกนศีรษะเกลี้ยง ไม่มีแม้หนวดเคราสักเส้นจึงแลดูเหมือนหมูที่ถูกฆ่าขูดหนังจนเกลี้ยงเกลาแล้วไม่มีผิด ไม่มีใครรู้ว่านายจางมาทำอะไรที่โกดังนี้ และเหตุใดจึงถูกฆ่า ที่ประหลาดที่สุดคือ ทำไม่มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่เหมือนหีบศพรองรับนายจางเอาไว้อย่างมิดชิดเช่นนั้น

    ภายในโกดังร้างค่อนข้างอับชื้น บนพื้นมีน้ำขังอยู่ทั่วไปเพราะเมื่อสองวันก่อนฝนตกค่อนข้างหนัก  ก้อนน้ำแข็งที่อัดร่างนายจางไว้ส่วนล่างแช่น้ำอยู่ แต่ก็เชื่อแน่ว่าน้ำที่พื้นนั้นเป็นน้ำฝนที่ขังอยู่ ไม่ใช่น้ำที่เกิดจากการละลายของก้อนน้ำแข็ง เพราะแม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมง ก้อนน้ำแข็งก็ดูไม่ละลายเล็กลงไปกว่าเดิมเลย "เออ คงเป็นเพราะแรงอธิษฐานของนายจางทีเดียว" ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อได้เห็นสภาพศพที่แช่แข็งอยู่

    "นายจางกลัวว่าศพตัวเองจะเน่าเหม็น แรงภาวนาจึงทำให้มีน้ำแข็งมารองรับไว้"  ชายคนเดิมยังคงพูดต่อไปเหมือนต้องการให้ใครๆ ได้ยิน

    เมื่อทังมู่ได้รับรายงานแล้วก็สะบัดหน้าว่า "เหลวไหล อากาศร้อนอย่างนี้จะมีน้ำแข็งที่ไหนก้อนใหญ่ขนาดนั้น"

     ทังมู่รีบรุดไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชันสูตรหลิกศพทันที เมืองหลินชวนอยู่ทางเหนือของประเทศจีน  จึงมีน้ำแข็งได้ไม่แปลก แต่จะมีเฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น พ่อค้าน้ำแข็งจะขุดอุโมงค์ลึกลงไปใต้ดิน เรียกว่าอุโมงค์น้ำแข็ง แล้วนำหิมะหรือน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งเก็บรักษาไว้ พอถึงฤดูร้อนก็จะนำออกมาขายให้แก่คนขายปลาสด ในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า จึงต้องอาศัยฤดูกาลทำน้ำแข็งตามวิธีธรรมชาติดังกล่าว อีกวิธีหนึ่งคือพ่อค้าจะประกอบไม้แบบให้เป็นรูปน้ำแข็งก้อนใหญ่เก็บน้ำไว้ให้เป็นน้ำแข็งได้ในไม่ช้า อุโมงค์น้ำแข็งที่นี่จึงทำกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเป็นของธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุน แต่ขายได้เป็นเงินเป็นทองอย่างสบาย ทางการรู้ดีว่า พ่อค้าน้ำแข็งมีกำไรจากกิจการนี้ไม่น้อยจึงนอกจากจะเรียกเก็บภาษีตามปกติแล้วยังเรียกน้ำแข็งก้อนโตๆ ไปใช้ฟรีเป็นภาษีเพิ่มประจำวันอีกด้วย

     ขุนนางทังมู่มาถึงที่เกิดเหตุ เขามองดูอยู่แต่ไกลเห็นว่าร่างของนายจางผนึกแน่นอยู่ในน้ำแข็งชนิดเดียวกับที่เจ้าของอุโมงค์ส่งไปให้ใช้ฟรีๆ ทุกวันที่จวน น้ำแข็งก้อนที่ผนึกร่างของนายจางแม้จะขุ่นมัวไปหน่อย แต่ก็ใสพอที่จะเห็นอะไรได้ชัดเจน นายจางหลับตาและหุบปากสนิท เป็นภาพที่ไม่ก่อให้เกิดความสยดสยองอะไรนัก "แปลกแท้ๆ" ขุนนางทังมู่ขมวดคิ้วคิดต่อว่าเป็นไปได้อย่างไร สัปเหร่อเริ่มใช้ค้อนด้ามยาวทุบก้อนน้ำแข็งที่อัดร่างนายจางไว้ให้แตก สะเก็ดน้ำแข็งกระจายเมื่อฆ้อนกระทบร่างของนายจางปรากฏล่อนจ้อนอยู่กับสายตา เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพนำเข็มที่ทำด้วยเงินแท้ใส่ไว้นายปาก และทวารหนักของนายจางแห่งละเล่ม สักครู่จึงถอนออกมาดูปรากฏว่าเข็มเงินยังคงความเป็นเงินขาว แสดงว่านายจางไม่ได้ถูกวางยา เพราะเข็มมิได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทั่วร่างของผู้ตายก็ไม่ปรากฏบาดแผลแต่อย่างใด ชาวบ้านต่างลงความเห็นกันว่า นายจางเป็นลมตายเองและผลแห่งการเพียรภาวนาของเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงได้ดลบันดาลให้เกิดก้อนน้ำแข็งใหญ่มารองรับศพของเขาเอาไว้แทนโลงไม้ธรรมดา

    ใครจะเชื่ออิทธิปาฏิหาริย์อย่างไร แต่ขุนนางทังมู่ไม่ยอมเชื่อ เขาอนุญาติให้เมียของผู้ตายนำศพไปจัดการตามประเพณีได้  วันรุ่งขึ้น ทังมู่ก็ปลอมตัวเป็นพ่อค้า มีคนรับใช้ติดตามหนึ่งคน ออกจากจวนว่าการทางประตูหลัง ตรงเข้าไปยังชุมชนใกล้บ้านของนายจาง ตรงข้ามบ้านของนายจางเป็นร้านเหล้า ขณะนั้นเป็นเวลาอาหารเย็น ผู้คนกำลังคับคั่ง ข้างประตูร้านเหล้ามีเตาสำหรับอุ่นเหล้า "เส้าซิง" ขายดีจนบริการแทบไม่ทัน "เชิญท่านข้างในเลย มีโต๊ะพิเศษและโต๊ะชุดด้วย"

    หญิงวัยกลางคนร้องเชื้อเชิญ จากท่าทางที่กระตือรือร้นในการต้อนรับแขก  ทำให้รู้ได้ว่านางคงเป็นเจ้าของร้าน ทังมู่ขอนั่งดื่มอยู่หน้าร้าน ซึ่งนางก็จัดโต๊ะให้ เมื่อเห็นว่านางเป็นคนมีอัธยาศัยดี ทังมู่จึงชวนคุยว่า "บ้านที่ติดผ้าไว้ทุกข์ตรงข้ามนั่น เห็นทีจะเป็นบ้านของนายจางที่ถูกฆาตกรรม"

     "เอ๊ะ ท่านก็ได้ยินมาเหมือนกันหรือ" นางหันมาถาม

     "เป็นเรื่องแปลกจริงๆ ที่ตายที่ไหนไม่ตาย ไปตายในก้อนน้ำแข็ง"

     "ไม่รู้ว่านายจางมีครอบครัวหรือไม่" ขุนนางทังมู่เลียบเคียง

    "มีแต่เมีย ไม่มีลูก ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่" นางตอบพร้อมกับส่งจอกเหล้าที่ต้มแล้วและกับแกล้มมาให้ตรงหน้า

     ขณะนั้นเอง ก็ปรากฏชายคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้าล่ำสันอายุได้ประมาณ 30 เศษ มาเคาะประตูบ้านนายจาง  "ชายคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับนายจางหรือ" ทังมู่เอ่ยถาม นางเจ้าของร้านเหล้าหันไปดูแล้วสะบัดหน้า ทำปากเบ้เหมือนหยามเหยียด แล้วพูดว่า

     "ข้าไม่อยากสนใจเรื่องชาวบ้าน ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างกวาดหน้าบ้านของตัวให้สะอาด"

     "ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องไม่งามน่ะสิ" ทังมู่ว่า

     สักครู่หนึ่งประตูบ้านของนายจางก็เปิดออก ผู้หญิงในชุดไว้ทุกข์คนหนึ่งโผล่หน้าออกมาดูครึ่งเดียว แล้วก็รีบหลบหน้าเข้าไป  ชายที่เคาะประตูก็หลบวูบตามเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วประตูก็ปิดลงดังเดิม ยามนั้นแม้จะใกล้ค่ำ แต่สายตาแหลมคมของทังมู่ก็ดูออกว่า หญิงนั้นไม่ใช่เมียของนายจางที่ได้ไปร่วมชันสูตรศพด้วย เพราะฉะนั้นคนที่สาวกว่าคนนี้คงจะเป็นเมียน้อยของนายจาง

    "เมียน้อย เมียหลวงของนายจางอยู่ร่วมบ้านเดียวกันเหรอ" นางเจ้าของร้านพยักหน้ารับ แล้วพูดว่า

     "ถ้าท่านมีเวลา และไม่เบื่อที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปท่านก็จะได้เห็นอะไรดีๆ ได้เอง โดยไม่ต้องถามข้า"

    ทังมู่นั่งกินอาหารต่อไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น สักครู่นางเจ้าของร้านก็กระแอมกระไอบอกใบ้ว่า  "นั่นแน่ะ มาอีกแล้ว" ชายรูปร่างล่ำสันใหญ่โตคนหนึ่งกำลังยืนเคาะประตูบ้านนายจางอยู่ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว อาศัยแต่แสงไฟจากร้านรวงใกล้เคียงซึ่งไม่ค่อยสว่างนัก ทังมู่จึงจับเค้าได้แต่รูปร่างสัดส่วนซึ่งคุ้นตาเหมือนเคยพบเห็นมาก่อน

      "นี่เป็นเมียหลวงละซิ" ทังมู่หรี่ตายิ้มกับนางเจ้าของร้านเหล้า นางไม่ปฏิเสธความคาดหมายของทังมู่ ทังมู่พอจะวาดภาพสาเหตุแห่งการถูกฆาตกรรมของนายจางได้แล้ว แต่ฆาตกรจะเป็นใครกันเล่า น้ำแข็งที่ห่อหุ้มศพไว้มันยากจะอธิบาย

    วันรุ่งขึ้น เมื่อทังมู่ออกจากห้องสมุดในจวนก็บังเอิญเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านออกไป  เขานึกถึงสัดส่วนรูปร่างของชายคนที่สองที่มาเคาะประตูบ้านนายจางเมื่อคืนทันทีจึงเรียกคนรับใช้เข้ามาถามว่า "คนที่เดินออกไปเมื่อสักครู่เป็นใคร"

    "เขาเป็นคนงานที่อุโมงค์น้ำแข็ง ส่งน้ำแข็งก้อนใหญ่มาให้ที่จวนทุกวันขอรับ" เด็กรับใช้ตอบ

    ทังมู่เกือบจะแน่ใจแล้วว่า คดีฆาตกรรมนายจางจะต้องเกี่ยวพันกับคนส่งนำแข็งแน่นอนถ้าเป็นขุนนางคนอื่นๆ  เพียงข้อมูลเหล่านี้เขาก็จะรีบจับตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดมาโบยเพื่อให้รับสารภาพแทนการสืบเสาะต่อไป แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากใต้แส้ใต้ไม้อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ บางคนจำเป็นต้องสารภาพเพราะทนการทารุณไม่ไหวก็มี วิธีการของทังมู่แม้จะเป็นผลดีในการพิจารณาตัดสินคดีอย่างยุติธรรมและถูกต้อง แต่ก็ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยกายใจมิใช่น้อย

     ขุนนางทังมู่ ยังคงแต่งกายธรรมดาออกสืบสวนคดีนี้ต่อไป เขาได้รายละเอียดเพิ่มเติมคือ  ชายหนุ่มคนแรกเป็นลูกจ้างคุมโกดังเก็บสินค้าใกล้ๆ กับโกดังที่พบศพนายจาง ต่อมา เมื่อเมียน้อยของนายจางย้ายออกไปจากบ้านของนายจาง ชายหนุ่มคนนี้ก็มิได้มาเคาะประตูอีกเลย ขุนนางทังมู่จึงสั่งให้จับชายทั้งสองคนนั้นทันที พร้อมทั้งประกาศเปิดศาลให้ชาวบ้านเข้าฟังการพิจารณาคดีนี้ด้วย เขาต้องการสอนให้ชาวเมืองของเขา รู้จักใช้เหตุผลที่ถูกต้องแทนการหลงเชื่องมงาย ปริศนาการตายของนายจางกำลังจะถูกเปิดเผยออกมาชาวบ้านที่เบียดเสียดกันเข้ามาฟังการพิจาราณาคดี ยังแอบซุบซิบกันอึงว่า "เป็นปาฏิหาริย์แท้ๆ หน้าร้อนอย่างนี้ใครจะทำน้ำแข็งได้ "

    เสียงผู้คนเงียบกริบลงทันทีเมื่อขุนนางทังมู่ออกบัลลังก์สองคนแรกที่ถูกเรียกออกมาให้การคือสัปเหร่อที่ทำหน้าที่ทุบน้ำแข็งเพื่อเอาศพออกมาในวันนั้น

     "เมื่อตอนที่เจ้าทุบน้ำแข็งเจ้ารู้สึกหนาวเย็นไหม" ทังมู่ถาม

     สัปเหร่อทั้งสองมองสบตากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่ทราบว่าจะได้รับคำถามนี้ เมื่อหยุดคิดทบทวนดูแล้วสักครู่ คนหนึ่งจึงตอบว่า

    "ข้าแต่ใต้เท้า วันนั้นกระผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าน้ำแข็งก้อนโตขนาดนั้นแต่ทำไมไม่รู้สึกเย็นเมื่อเข้าใกล้"

     "ถ้าเช่นนั้นทำไม่ไม่รายงาน" ทังมู่ไล่เลียง

     "ข้าแต่ท่าน วันนั้นอากาสร้อนมากจนกระผมทั้งสองคิดว่าคงจะเป็นเหตุให้น้ำแข็งไม่เย็น"

     "เจ้าทั้งสองสำคัญผิดไปมาก" ทังมู่ว่าพร้อมกับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปยกน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ทางอุโมงค์น้ำแข็งนำมาเป็นของกำนัลประจำวันออกมา  แล้วพูดกับสัปเหร่อทั้งสองว่า

    "เจ้าลองเข้ไปใกล้ในระยะเท่าวันนั้นดูซิว่า อากาศร้อนเท่าใด เจ้าจะยิ่งรู้สึกยิ่งเย็น  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่"

    "เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับกระผม"

     "ดังนั้นจึงได้บอกว่าที่พวกเจ้าทุบน้ำแข็งในวันนั้นหาใช่ก้อนน้ำแข็งไม่"

    "แต่ใต้เท้าที่เคารพ เวลาที่ทุบก็มีน้ำแข็งกระเซ็นขึ้นมาถูกใบหน้าของกระผมด้วย" สัปเหร่อคนที่หนึ่งแย้ง

     "นั่นเป็นน้ำที่ขังอยู่บนพื้น ถูกแรงกระแทกจากการทุบ" ทังมู่ว่า

     "เป็นเพราะพวกเจ้าขาดความละเอียดถี่ถ้วน ส่วนข้านั้นยืนอยู่ห่างเกินไปไม่ทันสังเกตเห็นได้จึงต้องลำบากค้นหาความจริงอยู่นาน"

    "ก้อนน้ำแข็งที่พวกเจ้าทุบนั้น แท้ที่จริงคือน้ำตาลกรวด"

    "น้ำตาลกรวด" เสียงทวนพึมพำดังขรมไปทั่วห้องพิจารณา ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม  "ความจริงมีอยู่ว่า" ขุนนางทังมู่พูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่ว

     "ผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นคนงานของอุโมงค์เก็บน้ำแข็ง อีกคนหนึ่งเป็นคนควบคุมโกดังสินค้าใกล้ๆ  นั้นทั้งสองคนได้ร่วมมือกันฆ่านายจาง คนหนึ่งทำหน้าที่ขอยืมถังไม้ที่ใช้กักน้ำให้เป็นน้ำแข็งในฤดูหนาวมาจากอุโมงค์ อีกคนหนึ่งทำหน้าที่ขโมยน้ำตาลจากโกดังสินค้ามาเคี่ยวให้เหนียวเทลงในถังไม้ที่ใช้ทำน้ำแข็ง ก่อนที่น้ำตาลจะจับแข็งทั้งสองคนก็ช่วยกันยกศพของนายจางวางลงในถัง พอน้ำตาลตกผลึกก็ห่อหุ้มศพนายจางไว้ภายใน แม้สีของน้ำตาลจะไม่ใสเหมือนอย่างน้ำแข็ง แต่ก็ขาวและเหมือนน้ำแข็งที่มีฟองอากาศหรือตะกอนเจือปนในน้ำของน้ำแข็ง จึงสามารถตบตาผู้พบเห็นได้"

    กระผมเอะใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมศพจึงไม่เย็นยะเยือกเหมือนเพิ่งออกมาจากก้อนน้ำแข็งใหม่ๆ"  เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพว่า

     "กระผมคิดอยู่แต่ว่า ถ้าไม่ใช่น้ำแข็งป่านนี้ศพคงมีกลิ่นเหม็นแล้วเป็นแน่"

    "ศพเก็บไว้ในน้ำตาล ก็มีผลไม่ให้ศพเน่าได้เหมือนกับเกลือ" ขุนนางทังมู่อธิบาย

    "ข้าได้ไปตรวจสอบที่โกดังและได้พบหลักฐานพร้อมมูลมีทั้งเตากะทะทองเหลืองขนาดใหญ่  ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการประกอบฆาตกรรม น้ำตาลยังเหลืออยู่ในโกดังอีกหลายกระสอบ ทางเจ้าของยอมรับว่าได้หายไปสองกระสอบ"

    ว่าแล้ว ขุนนางทังมู่ก็เรียกเจ้าของน้ำตาลออกมายืนยัน เมื่อหลักฐานและข้อสรุปการสอลสวนปรากฏชัดเช่นนี้ผู้ต้องหาทั้งสองจึงจำต้องรับสารภาพตลอด ข้อหา อันที่จริง ผู้ต้องหาทั้งสองได้ลอบเป็นชู้กับเมียหลวงทั้งสองของนายจาง และได้วางแผนที่จะฆ่านายจางเพื่อจะได้อยู่กินกับเมียของนายจางโดยไม่ต้องหลบซ่อนต่อไป แต่ยังหาโอกาสเหมาะไม่ได้ วันนั้นชายชู้ของเมียหลวงพบนายจางเข้าโดยบังเอิญกลางทางจึงพูดจาชักชวนให้นายจางแวะไปเที่ยวที่บ้านพอได้ทีก็ใช้กระสอบสวมนายจางไว้จนหมดสติ แล้วนำไปที่โกดัง ร่วมมือกับชายชู้ของเมียน้อยดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เมื่อมีคนพบศพ ชายทั้งสองอีกนั่นแหละที่เริ่มต้นอุทานให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของแรงอธิษฐานของนายจางเพื่อสร้างความเชื่อให้คนดูคล้อยตาม ว่าการตายของนายจางเป็นไปตามคำอธิษฐานของเขา การที่ชายชู้ทั้งสองไม่กล้าฆ่านายจาง แล้วทำลายศพเสียให้สิ้นหลักฐานนั้นก็เป็นเพราะเกรงว่าผู้คนจะสงสัยเอาได้ เนื่องจากทั้งสองคนเข้านอกออกในบ้านนายจางอยู่เสมอ เขาหลงดีใจว่าแผนการณ์ครั้งนี้คงจะตบตาชาวเมืองหลินชวนได้ แต่หารู้ไม่ว่า กฏแห่งกรรมนั้นใครเลยจะหนีพ้น นายจางเองก็เช่นกัน ในที่สุดเขาก็ต้องตายเหมือนหมูที่เขาเคยฆ่า อนิจจา


0
272

ฝันไปท่องนรก

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
ใช้ปัญญาหยุดกิเลส

ใช้ปัญญาหยุดกิเลส

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

กฎสวรรค์หมวดปัญญา

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

ครั้งที่ 4 ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

1654918052.jpg
mindcyber
3 weeks ago

อริโยวาทโง้วเอี้ยงอิ้ว

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago