ปีหมินกั๋วที่สามสิบเอ็ด (พ.ศ.2484) ผมชื่อจางเซิงอิ่ว เกิดที่มณฑลส่านซี อำเภอหย่งโซ่ว ปัจจุบันเป็นข้าราชการในกระทรวงกลาโหม ประเทศจีน เมื่อชาติก่อน ผมคือนายเถียนซันหนิว เป็นคนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอำเภอเฟิน ครอบครัวมีอาชีพทำนามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ สมัยนั้น ชาวบ้านแถบนี้นิยมสร้างที่พักเป็นลักษณะอุโมงค์เหมือนเตาเผาอิฐ กล่าวกันว่า บ้านอุโมงค์นี้มีความอบอุ่นในฤดูหนาว และเย็นสบายในฤดูร้อน อำเภอเฟินเป็นที่สูง เนื้อดินแข็งเหมือนหิน ขุดลึกลงไปหลายสิบฟุตก็ไม่พบน้ำ บ้านอุโมงค์จึงมีความถาวรอยู่ได้หลายชั่วคน
ในปีที่นายเถียนซันหนิวอายุได้สามสิบปีเศษ อำเภอเฟินเกิดอาเพทฝนตกติดต่อกันไม่ขาดสายเป็นเวลาหลายวันปากทางเข้าอุโมงค์ที่พักของนายเถียนซันหนิวมีน้ำขังเจิ่งฉะนั้นพอฝนหยุด เขาจึงรีบไปปรับหน้าดินที่กลายสภาพเป็นโคลนตม เหตุที่ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทำให้เนื้อดินปนหินของผนังเพดานอ่อนซุย เมื่อนายเถียนซันหนิวเข้าไปปรับดินอุโมงค์จึงพังครืนลงมา ถมร่างของเขาตายทั้งเป็นตรงนั้นทันที นายเถียนซันหนิวไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า ตนเองได้ตายไปแล้ว เขากลับรู้สึกว่าได้ตะเกียกตะกายออกมาจากกองดินพอลุกขึ้นได้ก็เดินดุ่มกลับบ้านทันที พอเข้าไปในบ้านเขาก็พูดกับภรรยาว่า
"วันนี้เกือบถูกฝังอยู่ที่เชิงเขาเสียแล้ว" ภรรยาดูเฉยเมย ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดเขาเลยแม้แต่จะสบตากับเขาสักนิดก็ไม่มี เขารู้สึกไม่พอใจนางยิ่งนักจึงหันไปเล่าให้ลูกชายฟังถึงเหตุการณ์ตื่นเต้นที่เกิดขึ้นนั้นแต่ลูกชายก็อีกเหมือนกัน ทั้งๆที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ทำเฉยเมยไม่สบตาไม่ตอบโต้ด้วย เถียนซันหนิวเกิดความโมโห ด้วยความน้อยใจเขาบอกกับตัวเองว่า
"ดูหรือ เราเกือบต้องกลายเป็นผีเฝ้าอุโมงค์อยู่ที่เชิงเขาเสียแล้ว ลูกเมียกลับไม่แยแส ไม่ยินดียินร้ายด้วย"
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขากระทืบเท้าเดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันมามองอีกเลย เถียนซันหนิวเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงบึง "หมิงอวี้ฉือ" ที่บึงนี้เป็นสถานที่สวยงาม เขาจึงคิดจะเข้าไปเดินเล่นแต่ก่อนที่จะเข้าไปบริเวณบึง เขาเห็นประตูเล็กๆบานหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นทางผ่านเข้าไปได้ ช่องประตูนั้นแคบมาก แต่เขาก็พยายามเบียดแทรกเข้าไป เขาพยายามเบียดอยู่นานจนในที่สุดก็ผ่านพ้นเข้าไป
ในขณะนั้นเขารู้สึกหน้ามืดมึนงงอย่างบอกไม่ถูก อึดใจหนึ่งเขาได้ลืมตาขึ้น โอประหลาดอะไรอย่างนั้น ร่างกายของเขาย่อส่วนลงจนเหลือขนาดเท่าเด็กทารก แล้วเริ่มอ้าปากร้อง อุแว้ อุแว้ เสียงคนส่งเสียงพูดจาสับสน ได้ความว่า "หากรรไกรมา ๆ" เถียนซันหนิวเหลือบตาขึ้นมอง เขาเห็นกรรไกรแขวนอยู่กับตะปูที่ข้างฝา จึงชี้มือไปแล้วร้องบอกว่า " นั่นไง กรรไกร แขวนอยู่นั่น"
พอเขาชี้บอกเท่านั้นทุกคนในห้องก็ตะลึงงัน เขาจึงชี้บอกอีกที ทีนี้ทุกคนพากันตื่นตกใจวิ่งชนกันอลหม่าน ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า "เด็กคนนี้เป็นปีศาจ เอาไปหมกบ่อส้วม เร็ว"
เสียงส่งเสริมดังขรมทันที "เอาไปหมกส้วมๆ" เถียนซันหนิวสะดุ้ง ใจหายวาบ เขาเพิ่งรู้ตัวว่า บัดนี้ตนเองได้กลายเป็นทารก ซึ่งเพิ่งถือกำเนิดออกมาจากครรภ์มารดาเดี๋ยวนี้เอง
"เราคงถูกฆ่าตายเป็นแน่" เขาใจเต้นแรง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหญิงที่นอนอยู่ร้องบอกว่า "เอาลูกฉันมาๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไร เขาก็คือเลือดเนื้อของฉัน คืนให้ฉันมานะๆ"
เขารอดจากความตายมาได้ด้วยความรักของแม่ ผู้ให้กำเนิดนั้นเอง เถียนซันหนิวได้คิดว่าหากเราขืนพูดต่อไป ไม่วันใดวันหนึ่งคงต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่ เขาจึงหุบปากสนิทเหมือนเป็นใบ้ ไม่พูดจาเลยตลอดเวลาเจ็ดปี ชาติที่เกิดใหม่นี้เขามีชื่อว่า "จางเซิงอิ่ว" แม้จะอยู่ในร่างของเด็กชายจางเซิงอิ่ว แต่ความรู้สึกนึกคิดยังเป็นนายเถียนซันหนิวเช่นเดิม พอลืมตาดูโลกก็อ้าปากพูด เกือบจะเป็นเหตุให้เขาถูกฆ่าตาย เขาจึงไม่กล้าปริปากอีกเลย จนใครๆพากันเรียกเขาว่า "เด็กใบ้"
วันหนึ่ง ปู่ได้จูงมือเขาพาออกไปเดินเล่นชายทุ่งพอพ้นสายตาผู้คน ปู่ก้มลงพูดกับหลานด้วยความอาทรว่า "หลานรัก เจ้าพูดได้ตั้งแต่วันแรกที่เกิด แล้วทำไมถึงเป็นใบ้อย่างนี้หากเจ้าเป็นใบ้จริงคงเป็นเพราะสกุลของเราอาภัพวาสนา จึงได้ลูกหลานพิกลพิการ แต่ถ้าพูดได้แล้วไม่กล้าพูด เพราะกลัวใครจะทำร้าย หาว่าเจ้าเป็นปีศาจละก็ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ปู่ก็จะปกป้องเจ้าหวังให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดสกุล ตระกูลของเราขาดแคลนทายาท ปู่จะทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้อย่างไร"
จางเซิงอิ่วน้ำตาไหลพราก เขารู้ว่าปู่พูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริง เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่อุโมงค์ถล่มลงมากลบร่าง จนกระทั่งเบียดตัวเข้าประตูแคบๆ ออกมาเป็นทารกเกิดใหม่ จากนายเถียนซันหนิวมาเป็นเด็กชายจางเซิงอิ่วจึงได้เปิดเผยออกให้ปู่ได้รับรู้ จากนั้นจางเซิงอิ่วก็เริ่มพูดจา ความในใจก็ไม่ต้องเก็บกดต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จางเซิงอิ่วก็ยังต่างกับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ เขาไม่เล่นซนคบค้ากับเด็กด้วยกัน แต่ชอบร่วมวงกับผู้ใหญ่วัยสามสี่สิบ
เรื่องราวการเกิดใหม่ของนายเถียนซันหนิว แพร่ไปทั่วอำเภอเฟิง ซากศพของนายเถียนซันหนิวถูกขุดพบ แล้วนำไปฝังตามประเพณีเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว บัดนี้ ลูกชายคนโตของนายเถียนซันหนิวอายุได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ทุกคนในบ้านไม่มีใครเชื่อคำเล่าลือที่ได้ยินมาเลย อยู่มาไม่นาน ทางบ้านของนายเถียนซันหนิวเกิดเรื่องเดือดร้อนถูกฟ้องข้อหารุกล้ำที่นาข้างเคียงโฉนดที่มีอยู่ก็ค้นไม่พบ เพราะนายเถียนซันหนิวเป็นคนเก็บรักษาไว้ก่อนตายก็ไม่ทันได้สั่งเสีย คิดว่าคงต้องแพ้ความเป็นแน่ทุกคนวิตกทุกข์ร้อนยิ่งนัก บังเอิญน้องเขยของนายเถียนซันหนิวเกิดความคิดขึ้นมาว่า ทำไมเราไม่ลองเชื่อคำเล่าลือดูสักครั้ง หากเป็นความจริง เด็กชายจางเซิงอิ่วที่วิญญาณของนายเถียนซันหนิวถือกำเนิด จะต้องบอกได้ว่าโฉนดที่ดินผืนนั้นอยู่ที่ไหน หากความไม่เป็นจริง ก็จะได้รู้กันไปเสียเลย
ในครั้งนี้ ปรึกษาตกลงกันเช่นนี้แล้ว น้องเขยของนายเถียนซันหนิวก็เป็นผู้รับหน้าที่เดินทางไปบ้านสกุลจาง พอไปถึงหน้าบ้าน พอดีเป็นเวลาที่เด็กชายจางเซิงอิ่วออกมายืนเล่นอยู่หน้าบ้าน เด็กชายยิ้มทักกวักมือเรียกน้องเขยแต่ไกลด้วยความดีใจน้องเขยตะลึงอยู่กับที่ก้าวเท้าไม่ออก เถียนซันหนิวในร่างของเด็กชายจางเซิงอิ่ว ไต่ถามทุกข์สุกถึงทุกคนในครอบครัวและเครือญาติทั้งหลายได้ครบถ้วน ในที่สุดน้องเขยก็ถามถึงโฉนดที่ดิน เด็กชายจางเซิงอิ่วตอบทันทีว่า "อยู่ในซอกหินที่ตั้งอุโมงค์" น้องเขยรีบกลับไปค้นหา ตามที่เด็กชายจางเซิงอิ่วบอก เขาพบโฉนดที่ดินผืนนั้นที่นั่นจริงๆ