ปีหมิ่นกั๋วที่ 23 ตรงกับปี พ.ศ. 2477 มีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงเหตุและผลแห่งกรรม ที่กระทำและจะต้องได้รับผลตอบสนองร่วมกันเรื่องหนึ่งดังนี้
เหตุเกิดที่เมืองกุ้ยหลิน เมืองที่มีภูเขาเป็นรูปลักษณ์หน่อไม้ขึ้นไปทั่ว มีแม่น้ำหลีเจียงที่น้ำใสและเรียบปานแผ่นกระจก มีทิวทัศน์และเอกลักษณ์ของความงามเป็นที่หนึ่งของโลก เมืองกุ้ยหลินอยู่ในเขตปกครองของมณฑลก่วงซี ที่เมืองนี้มีชายคนหนึ่งชื่อ ซูเสียวอู่ เขาได้ภรรยาที่มีความดีเพียบพร้อมและใจบุญสุนทาน ส่วนนายซูเสียวอู่ชอบกินสมองหมูเป็นชีวิตจิตใจจนขาดไม่ได้แม้สักวันเดียว
วันหนึ่ง ซูเสียวอู่ได้พักราชการกลับมาอยู่บ้าน เขาจึงออกตลาดไปเดินหาซื้อสมองหมู แต่วันนั้นเดินหาซื้อเท่าไรก็ไม่มี เขาจึงเข้าไปนั่งดื่มเหล้าในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อเสพสุราอาหารเป็นที่พอใจแล้ว แต่ยังไม่ลืมนึกถึงสมองหมูอีก จึงออกเดินหาซื้อต่อไป ซูเสียวอู่ดีใจเมื่อพบเห็นหัวหมูบนเขียงขายหมูเจ้าหนึ่งจึงตรงเข้าไปขอซื้อ แต่พ่อค้าหมูไม่ยอมขายให้เพราะเห็นว่าซูเสียวอู่เป็นทหาร อีกทั้งดื่มเหล้าจนเมามาย เสื้อผ้าก็รุ่มร่ามเห็นแล้วไม่ถูกชะตาจึงปฏิเสธไป ซูเสียวอู่ดึงดันที่จะขอซื้อให้ได้ แต่คนขายหมูก็ยืนกรานอยู่คำเดียวว่าไม่ขาย ทั้งสองจึงเกิดยื้อยุดถกเถียงกัน ผู้คนจึงพากันมาห้อมล้อมมุงดูเป็นการใหญ่
ในขณะนั้นเอง นายทหารคนหนึ่งบังเอิญขี่ม้าผ่านมาเห็นคนกลุ่มใหญ่มุงดูอะไรกันอยู่ ด้วยความแปลกใจจึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปดูบ้าง นายทหารท่านนี้ก็คือ ท่านเสนาธิการ นายพลเอี้ยฉีนั่นเอง เมื่อนายพลเอี้ยฉีเห็นว่า คู่กรณีที่เป็นเหยื่อสายตาของคนกลุ่มใหญ่คือคนขายหมูกับทหารใต้บังคับบัญชาของตนเลือดก็ขึ้นหน้าขึ้นมาทันที ความอัปยศอดสู ความเดือดดาลประดังกันขึ้นมา เขาตวาดถามว่า "มันเรื่องอะไรกัน" ซูเสียวอู่สร่างเมาทันที เมื่อเห็นนายพลเอี้ยฉีผู้บังคับบัญชา เขารีบจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวให้เรียบร้อย ทำความเคารพแล้วยืนตัวสั่นงันงกอยู่กับที่ โดยไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว คนขายหมูเห็นได้ที ก็รายงานเรื่องราวความผิดของซูเสียวอู่ให้นายพลเอี้ยฉีฟังจนหมดสิ้น ซึ่งเพิ่มความอัปยศเดือดดาลให้แก่นายพลเอี้ยฉียิ่งขึ้น
นายพลฯ ถามคนขายหมูด้วยใบหน้าขึ้งเครียดว่า "ถ้าเราสั่งให้เจ้าฆ่ามันเสีย ผลที่จะเกิดขึ้นภายหลังเรารับผิดชอบเอง เจ้ากล้าทำไหม"
พอซูเสียวอู่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ตัวสั่นยิ่งขึ้น เขาคุกเข่าลงร้องขอชีวิตต่อนายพลเอี้ยฉีละล่ำละลัก แทนที่นายพลเอี้ยฉีจะเวทนาสงสารต่ออาการรักตัวกลัวตายของซูเสียวอู่ นายพลเดือดดาลยิ่งขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณเพราะรู้สึกว่ากำลังถูกฉีกหน้า ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีทหารอาการของซูเสียวอู่เป็นคนขี้ขลาด เป็นคนถ่อยที่ไม่สมควรสวมเครื่องแบบเช่นเดียวกับเขา นายพลจึงออกคำสั่งสำทับคนขายหมูว่า "ฆ่ามัน ฆ่ามัน" คนที่ถือมืดเชือดเนื้อเถือหนังมานาน เคยชินกับเลือดเนื้อและชีวิตมานาน อีกทั้งวิญญาณของผู้ถูกทำร้ายเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นพลังกระตุ้นผลักดัน เป็นแรงกรรมแฝงอันน่ากลัวอยู่ในตัวของผู้ฆ่า โดยเฉพาะเวลาน่าสิ่วหน้าขวานแรงกรรมนั้นจะมีพลังมาก
เมื่อได้ยินเสียงกระตุ้นให้ฆ่า คนขายหมูก็คว้ามีดขึ้นแล้วสับลงไปกลางศรีษะของซูเสียวอู่ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าดังฉัวะ กระโหลกศีรษะของซูเสียวอู่แบะออกทันที มันสมองสีขาวทะลักออกมา เลือดสีแดงฉานกระฉูด เขาสะดุ้งเฮือกตัวงออยู่กับพื้นขาดใจตายอยู่ตรงนั้น นายพลเอี้ยฉีสั่งให้พลทหารติดตามสองคนหามศพซูเสียวอู่ไปคืนให้แก่ภรรยาของเขา แล้วขี่ม้าไปจากที่นั่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภรรยาของซูเสียวอู่เห็นศพสามีที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น นางเงียบงันอยู่กับที่เหมือนคนขาดสติอยู่พักใหญ่ พอพ้นจากอาการช็อคแล้ว นางก็มอบเงินจำนวนหนึ่งให้เพื่อนบ้านช่วยจัดการเรื่องศพสามีของนาง จากนั้น ภรรยาของซูเสียวอู่ก็หายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่านางหายไปไหน
จนเวลาผ่านไปครึ่งปี วันหนึ่ง ขณะที่นายไต้หัวโกว่คนขายหมูที่ผ่าหัวซูเสียวอู่กำลังขายหมูอยู่ตามปกติ ก็มีภิกษุณีรูปหนึ่งท่าทางสำรวมเรียบร้อย ค่อยๆ เดินตรงเข้ามาหาเขาที่เขียงหมู เมื่อเดินเข้ามาตรงหน้าแล้ว ภิกษุณีรูปนั้นก็เอ่ยแก่นายไต้หัวโกว่ว่า
"...อมิตพุทธ ขอท่านจงวางมีดฆ่าหมูนี้เสียเถิด จงอย่าได้ก่อกรรมทำเข็ญต่อชีวิตเขาต่อไปเลย"
นายไต้หัวโก่วได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันทันที แล้วตอบว่า
"แล้วข้าจะเอาอะไรกินเข้าไปล่ะ พระคุณเจ้า"
ภิกษุณีตอบด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตาว่า "ท่านจงหาทางเปลี่ยนอาชีพเสียเถิด เมื่อท่านวางมีดได้เดี๋ยวนี้ ท่านจะบรรลุพุทธะในทันที"
นายไต้หัวโก่ว ก็สวนทันควันว่า "แต่เนื้อหมูอยู่ใกล้แค่เอื้อม พุทธะอยู่อีกไกล"
ภิกษุณีไม่ละความพยายามที่จะโปรดสัตว์อีกว่า "เนื้อหมูอยู่ตรงหน้า แต่พุทธะอยู่กลางใจ"
สำหรับคนที่อยู่กับกลิ่นคาวเลือดมาจนเคยชินแล้วนั้น พระธรรมคำเตือนยากที่จะสะกิดเขาได้แม้เพียงหนังกำพร้า นายไต้หัวโก่วไม่พอใจที่จะฟังธรรมอันไร้สาระสำหรับเขาอีก ภิกษุฯรูปนั้นจึงเดินจากไปด้วยอาการสงบ เมื่อภิกษุณีรูปนั้นเดินจากไปแล้ว นายไต้หัวโกว่จึงมารู้เอาภายหลังว่า ภิกษุณีรูปนั้นคือภรรยาของซูเสียวอู่ที่เขาฆ่าตายนั่นเอง และจิตใจอันต่ำทรามของเขาก็คิดเป็นอกุศลทันทีว่า ภรรยาของซูเสียวอู่ผู้ตายจะมาขอบิณฑบาตมีดฆ่าหมูเพื่อจะฆ่าเขาเป็นการแก้แค้น ในวันเดียวกันนั้นเอง นายไต้หัวโกว่ขายหมูอยู่จนเที่ยงก็มีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาซื้อขาหมูและในขณะที่เขากำลังเงื้อมีดเล่มใหญ่สับขาหมูอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงม้าร้องผิดปกติ และแลเห็นนายพลเอี้ยฉีพลัดตกลงมาจากหลังม้าแต่ขาข้างหนึ่งเกี่ยวติดอยู่กับหยั่งเท้าของอานม้า หัวของนายพลห้อยลงกับพื้น ถูกม้าลากไปจนกระโหลกศีรษะแตกมันสมองไหลเรี่ยราดไปตามทางจนมาถึงหน้าเขียงหมูของนายไต้หัวโกว่
นายไต้หัวโกว่เห็นเช่นนั้นก็กระโจนออกมาจากเขียงหมูหวังจะหยุดม้าเพื่อช่วยชีวิตนายเอี้ยฉี แต่ด้วยความผลีผลามรีบร้อน ขาของเขาสะดุดเกี่ยวกับพื้นและกระแทกถูกแผงหมูโดยแรง เป็นเหตุบังเอิญเหมือนจับวาง มีดหมูเล่มใหญ่ที่เขาเคยใช้แบะหัวซูเสียวอู่ตกลงมาจากเขียงหมูด้วยแรงสะเทือน และเหมือนเจาะจงผ่าลงกลางศีรษะของเขาอย่างจัง เหมือนครั้งที่เขาสับมันลงไปกลางศีรษะของซูเสียวอู่เช่นนั้น มันสมองของนายไต้หัวโกว่สาดกระเซ็น เขาชักดิ้นชักงอและขาดใจในเวลาต่อมา ณ ที่นั้น ที่เดียวกับที่เขาซูเสียวอู่
ความเป็นจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเหตุบังเอิญหรืออย่างไร ซูเสียวอู่ ชอบกินมันสมองหมู ทำไมเขาต้องเสียมันสมองของเขาไปภายใต้คมมีดของนายไต้หัวโกว่คนขายหมู นายไต้หัวโกว่ มีอาชีพทั้งฆ่าและขายหมู เขาผ่ามันสมองของซูเสียวอู่เยี่ยงฆาตกรโหด ในที่สุด เขาต้องใช้มันสมองของเขาเองสังเวยคมมีดเล่มนั้น นายเอี้ยฉีใช้อำนาจบาตรใหญ่ในตำแหน่งราชการสั่งให้ผู้อื่นเฉาะมันสมองของทหารใต้บังคับบัญชาของตน เขาต้องมีอันเป็นมันสมองแหลกเหลวกระจายไปกับพื้นในบริเวณที่เขาได้ก่อกรรมไว้
ในสายตาของชาวโลกผู้เชื่อในกฏแห่งกรรมบางคนอาจจะคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งสามนั้นเป็นกรรมสนองกรรมที่ต่างชดใช้กันไปแล้ว แต่หามิได้ กรรมของคนทั้งสามจะยังสืบเนื่องต่อไป เพราะสันดานอันชั่วร้ายของเขาจะติดตามวิญญาณที่จะเกิดใหม่ต่อไป สันดานชั่วร้ายของคนทั้งสาม จะได้รับการระงับกล่อมเกลาหรือยั่วยุให้ระเริงฮึกเหิม เรามิอาจคาดการณ์ได้ แต่ที่น่าสนใจคือ สันดานเลวร้ายที่เราได้มาแต่ชาติก่อนเราเองจะเป็นผู้กำจัดให้หมดสิ้นไปได้ในชาตินี้
มั่วกามเคล้าโลกีย์เกิดเป็นกวาง อยู่ในป่าดงพวพลีห่างผู้คน