บ้านเลขที่57 บ้านซันติงมู่ ตำบลเอี๋ยนเจียเปา อำเภอซื่อซุ่น มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีนเป็นบ้านของเศรษฐีเอี๋ยนจ้งซิ่น ภรรยาของเขาเป็นลูกสาวตระกูลหวง หมู่บ้านตรงข้าม ซึ่งมีช่องแคบภูเขากั้นกลาง อันที่จริง แต่ก่อนมาคนทั้งสองตระกูลสองหมู่บ้านก็สมัครสมานสามัคคีกันดี ต่อมาได้เกิดกรณีพิพาทเรื่องอาณาเขตของหมู่บ้านจนกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ทุกๆ ปีในวันสี่ค่ำเดือนสี่ คนทั้งสองหมู่บ้านจะต้องมาชุมนุมกันที่บริเวณเส้นกั้นอาณาเขต ชายฉกรรจ์ของทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อศักดิ์ศรีของหมู่บ้านตน การนี้หากมีใครบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตอย่างไร ก็ตกลงกันไว้ว่าต่างฝ่ายต่างจะไม่มีใครรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เหตุการณ์เช่นนี้มีเป็นประจำทุกปี
เศรษฐีเอี๋ยนเป็นคนร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน มีเงินทองเหลือคณานับ มีที่นาเป็นหมื่นไร่ แต่มีนิสัยต่างจากบรรพบุรุษคือตระหนี่ถี่เหนียว ไม่รู้จักสร้างบุญกุศล แต่แม้จะเป็นเศรษฐีขี้เหนียวก็หามีความสุขไม่ เพราะล่วงเข้าวัยห้าสิบแล้วก็ยังไม่มีลูกไว้สืบสกุลเลย
ทุกวัน เศรษฐีจึงเฝ้าวิงวอนฟ้าดินจงโปรดประทานลูกชายให้สักคนหนึ่งเถิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนทรงเห็นความดีงามของบรรพบุรุษตระกูลเอี๋ยน อีกทั้งทรงทราบว่าถ้าปล่อยให้สองหมู่บ้านตระกูลหวง ตระกูลเอี๋ยนอาฆาตแค้นกันต่อไป ก็จะเป็นเหตุแห่งกรรมทำลายชีวิตกันได้ ด้วยพระมหาเมตตาอันสูงส่ง พระองค์จึงโปรดประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่เศรษฐี เพื่อเป็นผู้ยุติกรณีพิพาทนี้
ปีนั้นเศรษฐีอายุห้าสิบสอง คนสูงอายุเพิ่งได้ลูกชายเหมือนได้แก้ว จึงหลงรักเป็นชีวิตจิตใจ เบื้องบนได้กำหนดชื่อไว้ก่อนแล้ว เมื่อเด็กเกิดมาจะต้องชื่อว่า อิ่นจื่อ (แปลว่า เด็กซึ่งจะเป็นผู้สมานสัมพันธ์) ที่หมู่บ้านทั้งสองนี้ มีสะพานที่ทอดข้ามช่องแคบภูเขาซึ่งจะต้องใช้ร่วมกันเพื่อผ่านไปยังที่อื่นๆ อยู่สะพานหนึ่งเป็นสะพานไม้เก่าแก่ มีสภาพผุพังไปทั่ว ยิ่งคนทั้งสองหมู่บ้านเป็นศัตรูกัน สะพานก็ยิ่งถูกทิ้งให้ทรุดโทรมลง ด้วยเหตุนี้ปีหนึ่งๆ จะมีคนและสัตว์ตกลงไปตายมิได้ขาด หนูน้อยอิ่นจื่อลูกของเศรษฐีเป็นญาณที่ดีจุติลงมาเกิด
ฉะนั้น พื้นฐานจิตใจยังคงเต็มไปด้วยความเมตตานอกจากจะมีลักษณะงดงามแล้ว ยังมีกิริยาอ่อนโยนชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ วันหนึ่งเมื่อเดินผ่านไปเห็นสภาพปรักหักพังของสะพาน ซึ่งจะเกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้สัญจรไปมา อิ่นจื่อก็เกิดความสงสารเป็นห่วงจึงรีบไปหาเศษไม้มาเสริมมาขัดช่องโหว่ของสะพาน ปีนั้น หนูน้อยเธออายุได้หกขวบ แทนที่เธอจะเล่นซนเกเรกับคนใช้ที่รายรอบอยู่ในบ้าน กลับชอบที่จะแอบหนีมาตากแดดซ่อมสะพานอยู่อย่างนี้ทุกวัน อิ่นจื่อยังเป็นเด็กมากจะซ่อมแซมสะพานได้ดีสักเท่าไหร่ นอกจากช่องโหว่เล็กๆ เท่านั้น
วันหนึ่งขณะที่กำลังซ่อมสะพานอยู่ ก็มีชายคนหนึ่งหาบข้าวเปลือกเต็มหาบข้ามสะพานมา ตรงกลางสะพานมีไม้แผ่นหนึ่งหักกระดกอยู่ ชายผู้นั้นไม่ทันระวังจึงสะดุดล้มลง แกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟลุกขึ้นได้ด่าโขมงแล้วต่อท้ายว่า "…เอาแต่ข้ามสะพานกัน แต่ไม่ยอมช่วยกันซ่อม"
อินจื่อได้ยินดังนั้นได้แต่แอบขันในใจ คิดว่า "ตัวคนพูดเองไม่เคยช่วยซ่อม กลับไปโทษคนอื่นว่าไม่ช่วยกันซ่อมสะพาน"
นอกจากแผ่นกระดานที่หักกระดกอยู่แล้ว กลางสะพานยังมีช่องโหว่ใหญ่อีกช่องหนึ่ง ซึ่งคนที่เดินผ่านไปมาจะต้องเดินเลี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวา สุดความสามารถที่เด็กน้อยจะซ่อมแซมได้ อิ่นจื่อได้แต่หาไม้กวาดพาดๆ เอาไว้หาไม้ยาวได้อันหนึ่งมาปักไว้ตรงกลางให้เป็นเครื่องหมาย
วันหนึ่งท้องฟ้าครึ้ม อิ่นจื่อเกรงว่าผู้คนที่รีบร้อนข้ามสะพานจะไม่ทันสังเกตเครื่องหมายที่ปักไว้จึงไปยืนเกาะไม้อันนั้นอยู่เพื่อให้เป็นที่สังเกตได้ชัดเจน ตกเย็น ลมหนาวเริ่มพัดหนักขึ้น และโดยไม่คาดฝันหิมะก็โปรยปรายลงมา ผู้คนพากันข้ามสะพานกลับบ้านกันอย่างรีบร้อน แต่อิ่นจื่อยังกลับบ้านไม่ได้ เธอสำนึกในเมตตาและหน้าที่ แม้ขณะนั้นจะหนาวเย็นเพียงใด เพราะเกรงว่าหากละทิ้งกลางสะพานนี้ไป ใครบ้างก็ไม่รู้ที่จะต้องตกลงไปตาย อิ่นจื่อกอดไม้อันนั้นไว้แน่น ผู้คนทั้งสองหมู่บ้าน พกพาเอาความอาฆาตชิงชังต่อกันไว้จนเคยชิน จึงไม่มีใครสนใจหนูน้อยกลางสะพานเลย ฝ่ายนี้ก็คิดว่าช่างมัน คงเป็นเด็กของหมู่บ้านโน้น ฝ่ายโน้นก็คิดว่าช่างมัน คงเป็นเด็กของหมู่บ้านนั้น หิมะตกหนักขึ้นทุกที ลมหนาวพัดอู้อยู่ไม่ขาดสามวันสามคืนมาแล้ว
ไม่มีใครสะกิดใจเลย เด็กที่เกาะไม้ยืนอยู่กลางสะพานเพื่อให้เป็นที่สังเกต เธอถูกปกคลุมด้วยหิมะท่วมตัว และบัดนี้ เธอตายเสียแล้ว ผู้คนยังคงเดินผ่านไปมาอย่างรีบร้อน เพื่อกิจธุระของตน พ่อแม่ของอิ่นจื่อ เมื่อได้พบว่าลูกได้หายไปจากบ้านก็ออกตามหา เมื่อไม่พบก็คิดว่าลูกคงถูกคนร้ายลักพาตัวไปเพื่อจะเรียกค่าไถ่ จนวันที่สามจึงได้พบว่า อิ่นจื่อยืนนิ่งอยู่กลางสะพาน หนูน้อยอิ่นจื่อตายสนิท แต่นัยน์ตาของเธอยังลืมอยู่แป๋วแหวว ไม่มีใครรู้หรอกว่า เธอกำลังมองดูคนข้ามสะพานทุกคนอยู่ด้วยความห่วงใย เศรษฐีและภรรยา ร้องไห้คร่ำครวญเสียงก้องสะท้อนอยู่กลางสะพาน เขาคุกเข่าลงแหงนหน้าสาบานต่อฟ้าด้วยเสียงอันดังว่า เขาจะต้องสร้างสะพานนี้ใหม่โดยเร็วและให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะต้องหมดเปลืองเงินทองเท่าไหร่ก็ตาม
ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านมายืนดูภาพอันน่าสลดใจนั้นอยู่เต็มสองฝั่ง ภาพวีรกรรมของเด็กน้อยอายุหกขวบ เธอยอมเสียสละชีวิตเพื่อใคร หรือ เพื่อคนหมู่บ้านตระกูลหวง หรือ เพื่อคนหมู่บ้านตระกูลเอี๋ยน ความสำนึก ได้เกิดขึ้นในใจของชาวบ้านทั้งสองฝั่งแล้ว โดยเฉพาะคนข้ามสะพานที่ได้พบเห็นแล้วดูดายว่า คงเป็นลูกของไอ้คนหมู่บ้านโน้น เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นทั้งสองฝั่งหมู่บ้าน ฟังดูซิ มันเป็นเสียงเยี่ยงเดียวกันมิใช่หรือ
หมายเหตุ ผู้ที่ลงมาเกิดเป็นอิ่นจื่อ พระภาคเดิมคือเทพบุตรองค์รอง ซึ่งเป็นพี่ชายของหน่าจาเทพบุตรองค์ที่สาม ด้วยวีรกรรมดีที่ประกอบไว้ในชาติที่เกิดมาเป็นอิ่นจื่อ บัดนี้เบื้องบนได้โปรดให้ได้รับวิถีอนุตตรธรรม และประทานพระอริยะฐานะเป็น ชิงอีถงจื่อ เทพบุตรฉลองพระองค์สีเขียว ช่วยงานอยู่เคียงข้างพระพุทธจี้กง