ครั้งที่ 41 วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2520
ตอน ท่องศาลเจ้าที่เจ้าทางดูเหตุการณ์ผู้ที่ตายแล้วไปผุดไปเกิด
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนความว่า :
เทียนริบหรี่ เหมือนชาวโลก วุ่นวายเหลือ
หนาวลมเหนือ ยิ่งยํ้าหนาว ซํ้าฝนโปรย
รักดื่มดํ่า ก็จำพราก นิรันดร์โดย
ความฝันโรย พรํ่าเรียกหา มิได้คืน
อรหันต์จี้กง :สามีของนางไน้เซงกวง ชื่อนายอึ้งบุ้งตั๊ก ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของสำนักเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกับนายหยางเซิง ได้จบชีวิตลงเมื่อเวลาเที่ยงของวันนี้ ทำให้ฉันก็เกิดความรู้สึกว่าช่วงชีวิตมนุษย์นั้นมันสั้นเสียจริงๆ เรื่องราวทั้งหลายแหล่ในโลกมนุษย์ ไม่จำต้องไปจริงจังอะไรมาก ยังไม่หมดลมปราณใช่ได้สารพัด เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็อันตรธานไป เงินทอง ลูกหลานอยู่แห่งใด? บ้านช่องห้องหอให้มันยืมอยู่อีกไม่กี่วัน จะต้องถูกลูกหลานส่งไปยังสุสานที่อยู่บนภูเขาป่าเปลี่ยว มนุษย์เราความจริงแล้วได้อะไรบ้างหนอ?
หยางเซิง :ท่านอาจารย์ครับ ท่านว่าเมื่อคุณอึ้งลาโลกไปแล้วจะไปทางใดต่อละครับ?
อรหันต์จี้กง :หนทางในยมโลกยืดยาว วันเวลาก็เลื่อนลอยลี้ลับนั่นคือแหล่งสุดท้ายแห่งชีวิตของผู้คนฉันจะถือโอกาสในการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" นี้เอาเหตุการณ์ของคนที่ตายลงแล้วมาเปิดเผย
หยางเซิง :ยอดเลยครับ! อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ชาวโลกรู้แต่เพียงว่าเมื่อคนตายลงแล้วมุ่งสู่ยมโลก แต่ไม่รู้ว่าขณะที่ตายนั้นมีสภาพการณ์รายละเอียดเป็นอย่างไร ต้องขอท่านอาจารย์แจกแจงอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วย
อรหันต์จี้กง :ได้ซิ! เจ้าขึ้นบนดอกบัวเสีย ฉันจะพาเจ้าไปให้รู้เห็นโดยละเอียดสักครั้ง
หยางเซิง :กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มออกเดินทางได้
อรหันต์จี้กง :ถึงแล้วนะ รีบลงจากดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :ที่นี้กระผมได้มาแล้วเมื่อสักครู่นี้เอง
อรหันต์จี้กง :ใช่แล้วเจ้าดูศพของคุณอึ้ง นอนเหยียดอยู่บนเตียงที่ตั้งศพ เบื้องหน้าคือศิษย์สวดศพของสำนักเจ้า ได้เตรียมพร้อมที่จะสวดศพแล้ว พวกทายาทแต่ละคนล้วนแสดงออกซึ่งความโศกเศร้าระทมใจ
หยางเซิง :แล้วไฉนจึงเห็นแต่เรือนร่าง ไม่เห็นวิญญาณเขาด้วยเล่า?
อรหันต์จี้กง : เจ้ารีบขึ้นดอกบัวเร็ว ฉันจะพาไปชมดูให้รู้แล้วรู้รอดในศาลเจ้าที่เจ้าทาง
หยางเซิง :กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านออกเดินทางเถอะ….
อรหันต์จี้กง :ถึงแล้ว
หยางเซิง :ศาลเจ้าที่เจ้าทางมีฝูงชนมากหลาย ทหารม้าลาไปมาพลุกพล่าน อันนี้คนในแดนมนุษย์ไม่สามารถจะมองเห็นได้
อรหันต์จี้กง :เราเข้าไปคำนับเยี่ยมท่านผู้ว่าศาลเจ้าที่เจ้าทางกันเถอะ
ผู้ว่า :ยินดีต้อนรับท่านอรหันต์จี้กงและท่านหยางเซิง มิทราบว่ามีท่านมาเยี่ยมในวันนี้มีอะไรจะชี้แนะสั่งสอน?
อรหันต์จี้กง :เนื่องด้วยสามีของรองเจ้าสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแก่กรรมและประสบกับโอกาสที่สำนักนี้ได้มีเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เพื่อคลี่คลายปัญหาที่หลังจากผู้คนตายลงแล้วจึงตรงมาเยือนคารวะถึงที่นี้โดยเฉพาะ
ผู้ว่า :ยินดีต้อนรับ ๆ ! เชิญนั่งสักครู่ให้นายทหารเสิร์ฟน้ำชา
หยางเซิง :ขอบคุณ! ขอเรียนถามท่านผู้ว่า ขุมของท่านทำภาระหน้าที่อะไรบ้าง?
ผู้ว่า :ขุมนี้คือศาลเจ้าทางแห่งเมืองไถ่ตงควบคุมผู้คนตลาดกลางเมืองมนุษย์ มีภาระหน้าที่ตรวจตราดูแล ชาวโลกส่วนมากรู้ถึงหน้าที่การงานของเรา ศาลเจ้าที่เจ้าทางเปรียบเสมือนกองบัญชาการตำรวจในโลกมนุษย์ รับผิดชอบในการระวังคุ้มครองและตรวจสังเกตความประพฤติของชาวมนุษย์ ศาลพระภูมิ หกเต็กเจี่ยซิ้งเบี่ย ก็เปรียบดังสถานีตำรวจโดยขึ้นตรงต่อศาลเจ้าที่เจ้าทาง แบ่งการรับผิดชอบเป็นชั้นๆ บรรดามนุษย์ที่มีอายุขัยต้องจบลงนั้น ยมทูตแห่งยมโลกก็ถือคำสั่งมาตรวจสอบกับขุมนี้แล้วร่วมกันไปยังสถานที่นั้นคือศาลพระภูมิเสร็จแล้วร่วมกันไปเมืองมนุษย์นำเอาคนตายมา
หยางเซิง :ข้าพเจ้ายังมีข้อสังเกตอีกหลายข้อจะขอคำชี้แจงการนำเอาคนดี คนพาลนั้นศาลเจ้าที่เจ้าทางและยมทูติจะทำการนำตัวด้วยวิธีใด?
ผู้ว่า :ยมทูตเช่นนายทหารควายม้า หรือภูตผีขาว-ดำ ที่ไปยังบ้านของคนดีใจบุญแต่ตบไปยังตัวคนเพียงทีเดียว ก็จะทำให้ผู้นั้นสลบหมดสติไป แล้วจึงนำมาปฏิบัติต่อคนพาลใจอำมหิตก็สวมใส่กุญแจมือ ทำแบบจับกุมตัว ปฏิบัติดังโลกมนุษย์ทำการจับตัวคนร้ายเสร็จแล้วจึงพากันมารายงานต่อศาลเจ้าที่เจ้าทางคัดชื่อทางเมืองมนุษย์ออก ขึ้นทะเบียนเป็นชาวผี
หยางเซิง :การปฏิบัติต่อผู้ดีใจบุญและพวกบำเพ็ญธรรมจะไม่มีการให้เกียรติต้อนรับอย่างดีหรือ
ผู้ว่า :มีซิครับ ประดาที่สร้างบุญกุศลมากหลายในแดนมนุษย์ผู้ที่ทำความดีสะสมผลบุญกว้างใหญ่นั้นยมทูตเพียงแต่มาแจ้งให้ศาลเจ้าที่เจ้าทางไปนำตัวคน โดยให้เจ้าโชคเจ้าชัยนำทางกลับเข้ายมโลกหากเป็นคนที่มีคุณธรรมลึกล้ำหนาแน่น โดยให้อาจารย์ที่ตนนับถือของแต่ละคนชักนำ บ้างก็ไปจัดทำตามระเบียบต่างๆ ในแดนนรก บ้างก็ตรงไปยังกิ่วเอี้ยงกวง (ด่านเก้าตะวัน) ทำการทดสอบหากเป็นผู้สำเร็จธรรมแล้ว ส่วนมากนำตรงไปขึ้นสวรรค์
หยางเซิง :การถือศาสนาที่ต่างกัน วิธีการกลับคืนสู่สวรรค์จะต่างกันด้วยหรือไฉน?
ผู้ว่า :แม้ว่าศาสนาจะแตกต่างกัน วิธีการกลับคืนสู่สวรรค์ จำเป็นต้องปฏิบัติเดินทางสายกลาง ไม่ลำเอียงไม่ดื้อรั้นในแดนมนุษย์ มิเช่นนั้นแล้วขั้นตอนของการขึ้นสวรรค์ต้องประสบกับอุปสรรคไม่เป็นทีกลมกลืนอิสระเสรี
อรหันต์จี้กง :ท่านผู้ว่าพูดถูกแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรมในโลกมนุษย์ถือเป็นอย่างยิ่งในเรื่องดื้อรั้นกีดกันป้ายร้ายถือว่าตัวเองดีถ้าประพฤติผิดต่อสิ่งเหล่านี้ ในใจเกิดโมหะจริต (ความโกรธ) หรือมีจิตใจที่ชอบชิงความดีความเด่นนั้น จึงเสียการทรงตัวแห่งความเสมอภาค ดังนั้นจึงต้องตกเข้านรกรับการฝึกฝนใหม่ทั้งสิ้น
หยางเซิง :ขอเรียนถามท่านผู้ว่า ขณะนี้วิญญาณของคุณอึ้งได้ไปอยู่ยังแห่งใด ?
ผู้ว่า :ข้าพเจ้าจะพาท่านเข้าไปชมดูภายใน
หยางเซิง :ที่จริงคุณอึ้งนั่งอยู่ภายในห้องๆ หนึ่ง การตกแต่งเหมือนห้องเรียนไม่มีผิด มีคนอยู่แค่ 5-6 คนเขานั่งอยู่กับเก้าอี้ผงกศีรษะมายังข้าพเจ้าเป็นครั้งคราว มิทราบว่าข้าพเจ้าจะพูดคุยกับเขาได้หรือไม่ไฉน ?
ผู้ว่า : ได้ครับ
หยางเซิง :สวัสดี คุณอึ้ง
วิญญาณอึ้ง :ขอบคุณที่ท่านมีใจเป็นห่วง อ้าอือ…
หยางเซิง :ขณะนี้คุณอึ้งมองตรงมายังข้าพเจ้าที่มีน้ำตาไหลพรากอยู่ในลักษณะเหม่อลอยและก็พูดอะไรออกมาไม่ได้
อรหันต์จี้กง :บุ้งตั๊ก ! เจ้ามิควรโศกเศร้าเสียใจ ลูกเจ้าก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว และยังมีเมียขวัญผู้มีปัญญาและมีลูกที่กตัญญูด้วยจะไปเป็นห่วงใย!
หยางเซิง :คุณอึ้งยิ่งร้องไห้ใหญ่ขึ้นน่ะ!
อรหันต์จี้กง :ปลงเสียเถิด ชีวิตเหมือนผู้เดินทาง แค่เป็นการท่องเที่ยวเยี่ยมชมฉันนั้น จะไปอาลัยอาวรณ์อะไรหนักหนาเล่า?
วิญญาณอึ้ง :ขอขอบคุณท่านอาจารย์ให้การปลอบเตือนหวังว่าคงจะช่วยอบรมสั่งสอนลูกหลานแทนผมให้มากๆ ด้วย สอนพวกเขาให้ตั้งใจมุ่งในทางธรรม ให้ไปช่วยงานที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งให้มากๆ ขณะนี้ผมลาโลกไปแล้ว ได้รับผลกุศลจากเมียรักช่วยคุ้มครอง เจ้าโชคเจ้าชัยและท่านผู้ว่าก็ต้อนรับผมด้วยมารยาทที่ดีเป็นแต่ว่าจิตใจมันหงุดหงิดไม่สงบ….
หยางเซิง :ขอให้คุณอึ้งจึงสงบเยือกเย็ยลงเสียบ้างท่านอาจารย์ก็เทศน์มาไม่น้อยแล้ว แม้ว่าทางแห่งมนุษย์โลกได้สิ้นสุดลงแต่ยังมีทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ให้เดินได้อีกมิควรโศกเศร้าเกินไป
วิญญาณอึ้ง :ผมนึกเสียใจตอนมีชีวิตอยู่มิได้ไปช่วยงานที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง อือ…ขอขอบคุณท่านและเพื่อนฝูงในสำนักที่ได้ให้การดูแลช่วยเหลือมาโดยตลอด
อรหันต์จี้กง :เนื่องจากเวลาจำกัด ไม่สามารถพูดคุยได้มาก เราไปสนทนาต่อที่ที่ทำการกันเถอะ!
ผู้ว่า :เชิญท่านทั้งสองไปพูดคุยกันยังที่ทำการเบื้องหน้าเถิด….เชิญนั่ง มิทราบว่าท่านหยางเซิงยังมีข้อสงสัยประการใดบ้าง?
หยางเซิง :เกี่ยวกับการตายของคน มีคนสอบถามผมมากมายผมก็ไม่สามารถตอบได้ครบถ้วนสมบูรณ์ จึงต้องขอคำแนะนำชี้แจงจากท่าน
ผู้ว่า :มิต้องเกรงใจ มีปัญหาอะไรขอให้ถามได้ทุกกรณี ท่านอาจารย์ก็อยู่ด้วยกัน มีสิ่งใดไม่เข้าใจก็สามารถอธิบายให้ได้
หยางเซิง :อันความจริงนั้นที่วิญญาณล่องลอยออกจากร่างแล้วมีสภาพการณ์เช่นไรบ้าง
ผู้ว่า :ผู้ที่จะถึงแก่ความตายนั้น มักจะมีรางสังหรณ์อยู่ก่อนนั้นคือเกิดอาการเจ็บป่วย ไฉนจึงเจ็บป่วย ? ก็เพราะว่าถ้าอายุขัยของคนจะหมดลง คล้ายกับต้นไม้จวนเจียนจะล้มนั้น ต้องมีการเหี่ยวแห้งใบร่วงเมื่อพายุลมพัดเข้า ก็จะล้มตายทันที มนุษย์แรกเกิด ยมโลกได้ขึ้นทะเบียนให้ทันที ทะเบียนนั้นดังไม้ต้นหนึ่ง เงาตัวของมนุษย์ล้วนปรากฏร่างใน "ง้วนเฮ้งซิ่ว" (ต้นไม้ร่างเดิม) ขณะที่ต้นไม้นี้เกิดเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่ามนุษย์นั้นจะหมดอายุขัย ดังนั้นเจ้าพนักงานในยมโลกจึงตรวจดูใน "สมุดเกิด - ตาย" พอได้เวลา ยมทูตก็นำเอาคำสั่งไปเบิกตัวจากเมืองมนุษย์ ขณะที่ยมทูตไปถึงต้นไม้ก็แห้งล้มลง เรียกว่า ตาย ดวงจิตวิญญาณประทับในร่างของคนเป็นเวลาหลายสิบปีเสมือนหนึ่งกิ่งก้านติดอยู่กับต้นไม้ ถูกกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เวลานี้จะสลัดออกจากลำต้นกิ่งขาดแต่ผิวยังติดอยู่เหมือนอย่างเต่าที่จะลอกคราบรู้สึกเจ็บปวดมาก จะเห็นได้ว่าลักษณะการตายไม่เหมือนกัน บ้างก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หน้าดุตาถมึงทึง ใบหน้าเปลี่ยนสภาพไปหมดสิ้น อันนี้เป็นลักษณะอาการของการดิ้นรนต่อสู้ บ่งออกถึงความแค้นความโกรธความกลัวความเจ็บใจ ล้วนเป็นอาการก่อนตายของผู้ที่มีเวรกรรมค่อนข้างมาก หรือพวกตายโหง หากว่าหน้าตาสดใสละมุนละไม ราวกับคนนอนหลับ ลักษณธการตายของตนเหมือนยังมีชีวิตอยู่ก็แสดงว่าดวงจิตวิญญาณสงบสุขทางไปนั้นราบเรียบ เป็นลักษณะแห่งผู้มีบุญกุศล
อรหันต์จี้กง :อันคนที่หยุดการหายใจนั้น ยังไม่นับว่าตายแล้วยกตัวอย่างเช่น "ถ่านไฟฉาย" หากหลอดไฟไม่ติด (แสง) มิใช่ว่า "พลังไฟ" สูญสิ้นหมดเกลี้ยง ภายในยังเหลือไฟอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมันน้อยจนเกินควร จึงไม่สามารถเปล่งแสงออกมา ดังนั้นเมื่อคนหยุดการหายใจ ควรถือเสียว่าอยู่ในลักษณะการ "พัก" ขณะนี้ดวงจิตวิญญาณของคน (ความสัมผัสทางวิญญาณ) ยังมิได้หลุดพ้นจากเรือนร่างโดยสิ้นเชิง ธาตุ (ลมหายใจ) นั้นเหมือนดังเส้นไหมล่องลอยอยู่ เนื่องจากการที่ถือว่า "ของตนเอง" มาเป็นเวลานานเป็นเหตุ ดังนั้นเมื่อคนตายลงแล้ว แต่ใจยังไม่ตาย คล้ายเพ้อ คล้ายฝัน มีความรู้สึกโดยตลอด เพียงแต่ไม่สามารถพูดออกได้เท่านั้นในขณะนั้นพวกลูกหลานควรจะพูดปลอบใจข้างหูของผู้ตายโดยพูดเบาๆ ว่า "เชิญวางใจไปได้ครับ ภารกิจทุกอย่างในที่นี้ เราสามารถจัดการโดยเรียบร้อย ขออย่าได้เป็นห่วงเลย" เพื่อที่จะช่วยให้สบายใจในการเดินทางในยมโลก แล้วตัดความทรมานห่วงใยนั้นออกไป ผู้ที่นับถือทางพุทธ จงสวดคำพระนาม "อรหังสัมมาสัมพุทโธ" อยู่ข้างตัว ผู้ที่ถือเต๋า ก็กล่าวนามศักดิ์สิทธิ์ "ไถ่อิกกิ่วโค้วเทียนจุง" (เทพไถ่อิกผู้ปลดทุกข์) ต่างสวดตามที่เคยเลื่อมใสเชื่อถือ เพราะว่าพุทธ-เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนสถิตบนสวรรค์ทำการท่องสวดอย่างนี้ จะช่วยผู้ตายมีจิตใจสงบ ไม่หวั่นกลัวหนทางแห่งยมโลก เพราะว่าในขณะนั้นผู้ตายมีจิตใจวิปริตเสมือนหนึ่งเดินอยู่ในที่มืดมิดของกลางคืนหากใช้นามพุทธ-เทพแห่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเรียก แล้วจะช่วยให้มีกำลังใจ และวิญญาณที่ดั้งเดิมก็จะมั่นคงถาวร ไม่ถึงกับหวาดหวั่นทรมาน ในระยะเวลาตั้งศพ ลูกหลานที่อยู่ในโลกมนุษย์ควรถือศีลกินเจ ห้ามการดื่มเหล้ากินคาวมั่วกาม ก็จะดลบันดาลให้ผู้ว่าศาลเจ้าที่เจ้าทางของท้องที่ไปทูลท่านยมบาลจะได้ลดหย่อนผ่อนโทษของผู้ตายที่ได้ทำผิดไว้ในตอนมีชีวิตอยู่ การนี้ผู้เป็นบุตรหลานนั้นไม่ควรจะละเลยมองข้ามไปและก็เป็นกรรมวิธีหนึ่งที่กตัญญูสนองคุณของผู้เป็นบิดามารดาวันนี้เวลาหมดลงแล้ว เราเตรียมตัวกลับสำนักเถิด
หยางเซิง :ช้าก่อนครับ ! มิทราบว่าคุณอึ้งจะไปยังแหล่งใด?
ผู้ว่า :เนื่องจากได้รับการสนองความชอบจากกวนอูแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง วิญญาณนั้นจะเข้าไปอยู่ในยมโลกก่อน ต่อไปก็จะจัดการตามความดี - ชั่วที่สร้างไว้
อรหันต์จี้กง :เจ้าหยางเซิงอย่าถามให้มากนักกับเรื่องนี้อีกเลย รายละเอียดยังไม่เผยออก เตรียมตัวกลับสำนักเถอะ
ผู้ว่า :ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์
หยางเซิง : ขอคุณท่านผู้ว่า ! เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักเถิด….!
อรหันต์จี้กง :ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว
หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม