mindcyber 1 year ago

จะสร้างชีวิตสมบูรณ์พูนสุขอย่างไร

กำหนดความคิดว่า ฉันเป็นคนสมบูรณ์พูนสุขที่สุด ความคิดเป็นตัวที่จับให้มั่นได้ยาก เหมือนม้า เหมือนวานรจะคล้องบังคับจับให้มั่น ได้ จะต้องใช้ความประณีตกับอารมณ์ให้มาก

แต่ก่อน ยังมีนายคนหนึ่งเรียนถามท่านอาจารย์ ไป๋อวิ๋นว่า “ความคิด จิตใจของศิษย์ กำราบไว้ไม่อยู่ได้ ควรทำประการใด?”

อาจารยไป๋อวิ๋นย้อนถามว่า “เป็นความคิดจิตใจของผู้ใดหรือ” ตอบว่า “ของศิษย์เอง ”

ท่านถามต่อไปว่า “ใครเป็นผู้กำราบ ?” ศิษย์ฉงนตอบไม่ถูก ได้แต่นิ่งอึ้งยิ้มอยู่


อาจารย์ว่า “จะมาจะไป เจ้าวุ่นวายเอง ไม่มีผู้ใหญ่เป็นหลัก ถ้าเอาชนะมันไม่ได้จงวางมันลงไป ยังจะต้องรู้ว่า ที่วางมันลงไปนั้นเป็นใคร ถ้าเข้าใจ ก็จะมีผู้ใหญ่เป็นหลัก ไม่ต้องถูกมันหลอกล่อเอาอีก”

ไห่เอวี้ยจึงได้เข้าใจ กราบขอบพระคุณแล้วกราบลาไป


ใครที่ทำให้ตนเอง เกิดความคิดว่า ตนเองเบิกบานสมบูรณ์พูนสุขเสมอได้ ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้สูงด้วยปัญญาอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม คนที่ทำให้ตนเองเกิดความคิดว่าเคราะห์ร้ายทุกข์ยาก เศร้าโศกเสมอ ผู้นั้นจะต้องเป็นคนโง่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

แตกต่างกันแค่ความคิดก็ผิดแผกกันดังฟ้ากับดินทีเดียว พุทธะจึงว่า “หนึ่งความคิดคือหนึ่งวัฏจักร” คือเหตุผลนี้


ผู้เขียนเองก่อนลุกขื้นจากเตียงนอนตอนเช้า มักจะเผยอเปลือกตาขึ้นสองส่วนหลับอยู่แปดส่วน ในใจกำหนดว่า ตนเองเป็นคนสมบูรณ์พูนสุขที่สุด ฟ้าได้โปรดประทานปัญญาสูงสุดให้ไว้ ประทานศิลปสุนทรีย์ภาพสูงสุด โอกาสดีที่สุด ความรักอันโอฬาร พลังวิริยะไม่รู้จบไว้ให้ ญาติเพื่อนฝูงที่หายากอีกมากมาย...


ผู้เขียนเองปักใจว่า ตนเองได้ครอบครองความสมบูรณ์เหล่านี้อยู่ จนกระทั่งฝังใจหยั่งรากลึกลงในจิตสำนึก แล้วเกิดเป็นผลสะท้อนอย่างเด็ดเดี่ยวต่อพฤติกรรมของตัวเอง นี่ก็คือ “ศรัทธาความคิด”

จะทำให้ตนเองสมบูรณ์พูนสุข จะต้องไม่ยึดบริเวณเฉพาะตนเพราะจะเป็นการจำกัดขอบเขต ให้ตนเอง จงขยายส่วนกว้างส่วนลึกออกไป

ลองสมมุติเอาว่า ตนเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถ้าคิดว่าเป็นสัดส่วนเฉพาะตน ก็จะถูกจำกัดอยู่บนสัดส่วนนั้น  ถ้าเลื่อนเก้าอี้ออกไปเสีย พื้นกว้างทั่วบริเวณนั้นเป็นที่นั่งของฉันได้ทั้งหมด หรือฟ้าดินกว้างใหญ่ทั้งหมด เป็นที่ท่านจะท่องเที่ยวไปได้ทั้งนั้น จะรู้สึกเป็นอิสระเบิกบานปานใด

พึงรู้ไว้ว่า ระหว่างฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ คนเป็นสิ่งล้ำค่าสูงส่งกว่าใดๆในท่ามกลาง


แม้ที่อยู่จะใหญ่โตโหฐานตกแต่งวิจิตรตระการตา สำหรับฉันนั้น ไม่ถือเป็นการเสพสุข ตรงกันข้าม ทุกอย่างแย่กว่านี้ ก็ไม่รู้สึกอัดอั้น เห็นบางคน เมื่อจะตัดผม จะต้องเข้าร้านหรูหราชั้นสูงมีระดับ ขึ้นรถไฟก็จะต้องขบวนพิเศษชั้นหนึ่ง นั่นคือ จำกัดขอบเขตให้ตนเอง หาความกังวลให้ตนเอง สมมุติว่า ถ้ามีสักครั้งไม่มีรถชั้นหนึ่ง มีเหตุจำเป็นจะต้องไปรถธรรมดาชั้นสาม เชื่อว่าเขาจะต้องอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่บนรถไฟชั้นสามธรรมดาไปตลอดทาง ถ้ามีเหตุตกค้างอยู่ต่างจังหวัด ถึงเวลาจะต้องตัดผม ไม่มีร้านตัดผมหรูหราชั้นสูงอย่างเคย เขาจะลำบากใจเพียงไร อย่างนี้ถ้าไม่ใฝ่หาความยุ่งยากให้กับตัวเองเเล้วจะเรียกว่าอะไร


จะให้ตนเองมีความสมบูรณ์พูนสุข จะต้องใช้เจตนาดีแจกแจงทุกอย่าง

โลกที่เราอยู่มีทุกสิ่งอย่างตรงกันข้ามคู่กัน มีสวยก็มีขี้ริ้ว  มีบน-ล่าง สูง-ต่ำ อ้วน-ผอม เล็ก-ใหญ่ฯลฯ ฉะนั้น ก่อนอื่นสาวสวยจะต้องรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งต่อหล่อนทั้งหลายที่ใบหน้าเหยเกดูไม่ได้ ถ้าไม่มีความไม่สวยของหล่อนเหล่านั้น จะเปรียบเทียบสะท้อนให้เห็นความสวยของเธอได้อย่างไร


ในขณะที่มีคนวิจารณ์ว่าร้ายเรา แสดงให้เห็นว่า มีคนกำลังชื่นชมเห็นใจเราอยู่มีคนเกลียดเรา แสดงว่ามีคนกำลังรักเราปกป้องเราอยู่ด้วย

ลองยื่นมือออกมาสิ มีด้านสว่าง มีด้านมืด ถ้าเราจะพูดว่าเขาเป็นคนดี เรือก็พูดถึงด้านสว่างของเขา ตรงกันข้าม ถ้าจะพูดว่า เขาเป็นคนเลว เราก็จะพูดถึงความมืดของเขา

แต่ก่อนมีเจ้าเมืองท่านหนึ่ง เกิดมาพิกลพิการแขนขาข้างซ้ายด้วนไป เหลือแต่ข้างขวา แต่ท่านอยากให้ภาพของท่านปรากฏแก่ชนรุ่นหลัง ให้ชาวประชาชื่นชมรำลึก จึงได้เรียกหาจิตรกรผีมือดีที่สุดในแผ่นดินมาวาดภาพให้ จิตรกรคนนี้มิใช่ฝีมือธรรมดา วาดได้มีชีวิตชีวาเหมือนเจ้าเมืองจริง ๆ


เจ้าเมืองดูแล้วกระอักกระอ่วนยิ่งนัก แม้จะวาดให้ดีเพียงใด แต่ลักษณะพิการอย่างนี้จะเปิดเผยถ่ายทอดต่อสายตาประชาชนสืบไปกระไรได้ จึงประหารจิตรกรเพื่อลบความจำของเขาเสีย จากนั้นก็เสาะหาจิตรกรคนที่สองมา คนที่สองได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจิตรกรคนแรกมาแล้วเป็นบทเรียน จึงไม่กล้าวาดตามลักษณะความเป็นจริง ภาพที่ออกมาจึงมีแขนขาครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ตำหนิ เจ้าเมืองดูแล้วยิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปอีก ถึงกับตวาดใส่ว่า “ที่วาดนั้นไม่ใช่ข้า เจ้ากล้าส่อเสียดข้าเชียวหรือ” แล้วเจ้าเมืองก็สั่งประหารจิตรกรคนที่สองเสียอีกคนหนึ่ง ไม่นานจิตรกรคนที่สามก็ถูกเรียกตัวเข้าเมืองมา เขาครุ่นคิดพิจารณาอยู่นาน ไม่กล้าลงมือวาดง่ายๆ สุดท้ายจึงได้ความคิดว่า จะต้องวาดด้านข้าง เขาจัดการวาดด้านขวาที่แขนขายังครบถ้วนอยู่ด้วยความตั้งใจ ไม่ให้ด้านซ้ายที่พิกลพิการปรากฎเลย

(เหมือนการปิดบังความชั่วของผู้อื่น เปีดเผยแต่ความดีของเขา) เจ้าเมืองพอใจมาก จิตรกรผู้นี้จึงรอดดายและได้บำเหน็จรางวัลมากมายไป

อาจมีวันใดที่เพื่อนรักของคุณเดินสวนทางเฉียดตัวคุณไป คุณดีใจทักทาย แต่เขาไม่ตอบรับ จงคิดเสียว่า เขาคงสายตาสั้นเสียแล้ว หรือเขาคงจะใจลอย เขาคงมีความทุกข์มาก มีปัญหาต้องครุ่นคิดมาก ฯลฯ มองสบตากันก็ยังไม่เห็น ช่างเถอะ แล้วคุณก็ยังคงสบายใจต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือคุณจะคิดว่า มันมีเหตุโกรธแค้นไม่พอใจอะไรเรา มันใหญ่มาจากไหน มันเรียนสูงกว่าเกียรติยศตำแหน่งสูงกว่า รวยกว่าหรืออย่างไร ยิงคิดยิ่งแค้น เจ็บจำฝังใจ

ดูเถิดว่า ความกลัดกลุ้มวุ่นวายมากหลายตัวเองหามาเองทั้งนั้น ที่กล่าวมาเป็นวิธีสร้างสรรค์ให้ตนเองเกิดความสมบูรณ์พูนสุข

ส่วนวิธีลบล้างให้ตนปราศจากความกลัดกลุ้มวุ่นวายนั้นคือ

1. เก็บจิตเข้าไว้ ที่เกิดกลัดกลุ้มวุ่นวายนั้นล้วนเกิดจากปล่อยใจให้กระเจิง ไปจับไปเกาะ ไปพัวไปพัน ไปยึดไปติดกับอะไรๆ และเห็นมันเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ท่านปราชญ์เมิ่งจื๊อจึงได้กล่าวไว้ว่า

ธรรมะของการเรียนรู้ไม่มีอื่นใด เรียกจิตที่ปล่อยออกไปให้กลับมาเท่านั้นเอง ไก่ หมา ที่เลี้ยงไว้หายไปรู้จักเรียกหา จิตที่ปล่อยออกไปไมู่ร้จักเรียกหา น่าเศร้าแท้


2. เที่ยงตรงในความเห็น ความทุกข์กังวล วุ่นวายใจมักเกิดจากความลำเอียงเห็นแก่ตัว เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หากใช้ปัญญาเที่ยงธรรม ปัญหาจะหมด


3. เห็นกฎแห่งกรรม เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ควรได้ยิน ควรคิดถึงคำไม่ควรพูดที่ตนเคยพูด ใครแสดงกิริยาอาการไม่ดีต่อเรา ให้รู้ทันทีว่านั่นเป็นการก่อกรรม ถ้าคิดอย่างนี้ แม้ใครจะพูดบาดหูบาดใจ ใครจะแสดงอาการก็สงบใจลงได้ เพราะนั่นอาจเป็นกรรมสนองเราหรือกรรมที่เขาก่อเอง ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวกรรม


4. การนินทาว่าร้ายเขาคือก่อกรรม ถูกนินทาว่าร้ายคือได้สะเดาะเคราะห์กรรมนินทาว่าร้ายเขาดูเผินๆ เหมือนได้เปรียบ แท้จริงคือเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง ก่อกรรมไม่รู้ตัวถูกนินทาว่าร้ายดูเหมือนเสียเปรียบ แท้จริงเขาช่วยสะเดาะเคราะห์แก้กรรมให้แล้ว


5. ยกระดับจิตตัวเอง อย่ามีใจคอเยี่ยงเขา การด่าทอ แสดงโทสะต่อกัน มักเกิดจากต่างยึดถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมลดละ ใจคอพอกัน ถ้ายกระดับจิตตัวเองได้ เขากำลังด่ากำลังเกิดโทสะ ให้มองเห็นเป็นอาการอะไรสักอย่างหนึ่ง ให้เห็นเป็นกระจกส่องเงาตนเอง หรือไม่เห็นอะไรเลย


6. ให้เห็นความเป็นธาตุสมมุติ ทุกอย่างในโลกไม่ว่าจะมีอายุยืนยาวเพียงไร มั่นคงแข็งแรง สวยงามล้ำค่าแค่ไหนไม่พ้นจะต้องถึงวันแตกดับสูญสลาย เพราะปลงไม่ตกว่ามันเป็นธาตุสมมุติ เราจึงเศร้าโศกเสียใจ หวงแหนเสียดายของรักของหลง จนต้องทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิง ในที่สุดตัวเองก็ต้องแตกดับสูญสลายตามไปวันใดในหนึ่งเช่นกัน


7. อย่าร้อนตัวรับบทแทนคนอื่น เขาตีวัวแต่เราชอบทำเป็นคราด บางครั้งวัวยังไม่รู้ตัวว่าถูกตีคราดเกิดอาการเจ็บปวดแล้วก็มี

ครั้งหนึ่ง เศรษฐีเชิญแขกผู้มีเกียรติหลายท่านมาร่วมงานสำคัญ เลยเวลานัดหมายไปมาก อีกหลายคนยังไม่มา เศรษฐีกระวนกระวาย บ่นไปลอยๆว่า “ที่ควรจะมาแล้วสิยังไม่มา” แขกผู้มีเกียรติสามคนที่มาถึงอยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งร้อนตัวลุกขึ้นลากลับด้วยความไม่พอใจ เศรษฐีรีบชี้แจงว่า “ผมไม่ได้ว่าคุณ” แขกผู้มีเกียรติอีกคนหนึ่งได้ยินคำนี้ก็ร้อนตัวบ้างลุกขึ้นลากลับ ด้วยความไม่พอใจเหมือนกัน เศรษฐีก็ร้อนรนชี้แจงอีกว่า “ผมก็ไม่ได้ว่าคุณ” แขกคนที่สามผลุดลุกขึ้นกระแทกเสียงว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นผมน่ะสิ” ว่าแล้วก็กระแทกเท้าออกจากงานไป เศรษฐีเกาหัวงุ่นง่านตะโกนตามหลังไปว่า “ไอ้ที่ควรมาก็ยังไม่มา ไอ้ที่ไม่ควรไปก็จะไป” เพิ่งพูดขาดคำผู้มีเกียรติสองคนแรกทะลึ่งยืนพร้อมกันแล้วว่า “ไอ้ที่ควรไปคงต้องเป็นผมสินะ” ว่าแล้วก็ฮึดฮัดออกจากงานไปโดยไม่ยอมฟังเสียง ของเศรษฐีอีกเลย


8. อย่าหวังว่าใครจะต้องเหมือนเรา มีคำกล่าวว่า “ข้าวอย่างเดียวกัน เลี้ยงคนร้อยพันต่างจิตต่างใจ”

อารมณ์จิตใจของคนเราจะแตกต่างกันไปตามสภาพความเป็นอยู่ ผู้คนรอบข้างตามระดับการศึกษา และความแตกต่างของลมฟ้าอากาศ ฯลฯ จึงหาความพอดีเหมือนกันได้ยาก ดังคำที่ว่า

“เราจะเป็นที่ถูกใจคนทั้งร้อยไม่ได้ คนทั้งร้อยจะเป็นที่ถูกใจเราทั้งหมดก็ไม่มี”

ฉะนั้น จึงอย่าหวังให้ใครเป็นอย่างที่เราต้องการ


9. อย่าให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนมีอยู่มากไป ถ้าถามนักการศึกษาว่าอะไรสำคัญที่สุด เขาจะตอบว่า “ก็วิชาความรู้นะสิ” ถ้าถามนักเศรษฐศาสตร์ เขาจะตอบว่า “ก็เงินนะสิ” ต่างก็จะหยิ่งในศักดิ์ศรีให้ความสำคัญในสิ่งที่ตนมี ในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่องเปาบุ้นจิ้น ราชครูผังไท่ซือหยิ่งในศักดิ์ศรี ให้ความสำคัญต่อฐานะราชครูของตนเองจนไม่เห็นนายอำเภอศาลไคฟงอยู่ในสายตา จึงต้องย่ำแย่อับจนถึงที่สุด


10. สร้างความสุขให้เกิfขึ้นแก่ความคิดของใครๆเสมอ ใครที่พยายามหาทางสร้างความสุขให้เกิดขึ้นแก่ความคิดของใครๆเสมอ เขาจะเป็นผู้ได้รับความสุขนั้นก่อนใครๆ ความทุกข์กลัดกลุ้มก็จะไม่เกิด เช่น เรามีเรื่องขำขัน อยากจะถ่ายทอดให้ผู้อื่นขำขันด้วย เพียงคิดเท่านั้น ยังไม่ทันจะเอ่ยปากเล่า เราเองก็นึกขำขันแล้วในใจ ความเบิกบานก็ตามมา ถ้าเอาแต่จะจับผิดหาทางจัดการกับใครๆ ขณะครุ่นคิดวางแผน ตนเองก็เกิดทุกข์ก่อนเขา หาความสุขเบิกบานไม่ได้


11. เห็นความเป็นจริงว่าฟ้าดินเป็นเตาหลอม คนเราอยู่ในท่ามกลาง ถึงอย่างไร เราก็หนีไม่พ้นจะต้องรับการเคี่ยวกรำอยู่แล้ว

คำโบราณกล่าวว่า “หยกไม่เจียระไนไม่ได้รูป ทองไม่เผาไฟไม่มีค่า”

ธูปก็เช่นกัน แม้ไม่จุดไฟหรือจะกระจายกลิ่นหอม

ท้องฟ้าเหมือนกะทะ แผ่นดินเหมือนเตาไฟ เราอยู่ในท่ามกลาง ถูกกำหนดวางมาอย่างนี้ มีหรือจะไม่ถูกเคี่ยวกรำ แต่ฟ้าดินไม่มีปากจะพูดจา จึงต้องอาศัยคนอาศัยเหตุต่างๆ ทางโลกมาทดสอบ เรื่องแรงไฟสุขุมในจิตใจเราแรงไฟสุขุมเป็นแรงไฟที่ให้ความอบอุ่นแก่ตนเองและผู้อื่นเมื่อตกอยู่ในภาวะถด

ถอย ท้อแท้หนาวสะท้าน แรงไฟสุขุมเป็นพลังหล่อหลอมจิตใจให้มั่นคงสูงส่งต่อไป แต่มิใช่เป็นไฟเผาผลาญระรานทำลาย


12. กำไรชีวิต ไม่ว่าจะค้าขายหรือทำการใด ทุกคนล้วนอยากได้กำไร กำไรเงินทอง สิ่งของวัตถุความสุขในอบายมุขเป็นกำไรชั่วขณะทางโลก ยังอาจเป็นเหตุนำไปสู่การขาดทุนในวันข้างหน้าได้

ข้อคิดแนวทางการสร้างชิวตสมบูรณ์พูนสุขที่ได้กล่าวมา เป็นคุณต่อชีวิตการปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นคุณต่อชีวิตจิตญาณของตนและคนรอบข้าง จึงน่าจะเป็นกำไรชีวิตได้อย่างแท้จริง

0
675

การบำเพ็ญวิถีใจ

กิ่วเทียนเฮี่ยงนึ่ง

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
ตำมะเขือเผา

ตำมะเขือเผา

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
หันเซียงจื่อ

หันเซียงจื่อ

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
มะพร้าวตุ๋น

มะพร้าวตุ๋น

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

อริยสงฆ์ของรหัสยาน

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago