นางฟ้าองค์ที่ 7 ก็คือหญิงทอผ้าในตำนานชายเลี้ยงโคกับหญิงทอผ้า นางฟ้าผู้นี้มาจุติในโลกมนุษย์เป็นลูกคนเดียว ตอนอายุ 3 ปีบ้านเมืองเกิดกลียุค บิดาได้พลัดพรากหายสาบสูญในระหว่างหนีภัย มารดาได้พาลูกสาวตามหาสามีเดินข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า พอค่ำก็ปลูกเพิงทำด้วยหญ้าแห้งเป็นที่หลับนอน ยามหิวก็หาผลไม้ป่าหรือใบไม้มากินประทังชีวิต ต่อมามารดาเกิดป่วยไข้ เธออายุเพียงแค่นี้ฉลาดมากเธอนึกได้ว่า แต่ก่อนเวลาเธอไม่สบายเห็นมารดาไปเด็ดพืชหญ้ามาต้มเมื่อกินแล้วก็หาย ดังนั้นเธอจึงไปเด็ดพืชหญ้ามาต้มให้มารดากิน แต่เธอไม่รู้เรื่องตัวยาเที่ยวเก็บหญ้าไม่เลือก จะรักษาโรคได้อย่างไร แต่ด้วยแรงกตัญญูสะท้านฟ้าเบื้องบน หลังจากมารดาเธอกินแล้วก็หายป่วยเช่นกัน เพื่อการยังชีพทุกวันเด็กคนนี้จะเก็บกิ่งไม้แห้งไปขายที่ชุมชน จากนั้นก็ไปแลกเป็นฝ้ายนำกลับไปให้มารดาปั่นเป็นด้าย แล้วเอาด้ายที่ปั่นเสร็จส่งไปขายที่ชุมชนอีกที ทำอยู่เช่นนี้พอมีรายได้บ้าง ไม่ต้องไปเก็บพืชป่ามากินอีก
วันหนึ่งแม่ของเธอโดนกิ่งไม้ไผ่แทงถูกกระดูกสันหลังบาดเจ็บสาหัส เด็กกตัญญูคนนี้จึงเข้าไปในป่าถอนหญ้า เพื่อนำไปต้มให้แม่กิน ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งมาเตือนเธอว่า หญ้าชนิดนี้ไม่สามารถใช้รักษาแผล จะต้องใช้หญ้าพิเศษถึงจะรักษาได้ น่าสงสารเธอต้องเที่ยวหาหญ้าพิเศษทุกวัน แต่ก็หาไม่ได้อาการของมารดาก็ยิ่งทรุดหนักลง ทำให้เธอร้อนใจมาก
จะกล่าวถึงบุตรชายของขุนนางคนหนึ่ง เด็กคนนี้เป็นลูกกตัญญู อายุยังน้อยก็รู้จักเล่นตลกสร้างความบันเทิงแก่พ่อแม่ วันหนึ่งขณะที่ลูกกตัญญูคนนี้กำลังแสดงฉากลิงขึ้นต้นไม้ให้พ่อแม่ชม ทันใดก็มีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนมากมาจับผู้คนในบ้านเขาและปิดผนึกประตูบ้าน เขารู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว จึงแอบดูอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบ ๆ
ที่แท้บิดาของเขาถูกขุนนางกังฉินปรักปรำ ด้วยฮ่องเต้สมัยนั้นเอาแต่ฟังคำประจบสอพลอของพวกขุนนางใกล้ชิด เด็กคนนี้ได้แต่อยู่บนต้นไม้ดูคนในบ้านรวมทั้งพ่อแม่ถูกจับไปประหาร เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ต้องระเหเร่ร่อนค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ยังชีพด้วยการขอทาน
วันหนึ่งเขาเดินไปที่หน้าบ้านของคหบดีคนหนึ่ง วันนั้นบ้านของคหบดีกำลังมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ที่หน้าบ้านมีเด็กขอทานมากหน้าหลายตา เด็กขอทานอื่นเมื่อได้อาหารก็กลับบ้าน เหลือแต่เด็กคนนี้ไม่ไปไหน บ้านคหบดีมีคนใช้หญิงคนหนึ่งชื่อหยินเหอ เธอเห็นเด็กคนนี้ยังอยู่หน้าบ้านรู้สึกแปลกใจ จึงไปบอกนายผู้หญิง นายผู้หญิงเห็นเป็นเด็กสงบเสงี่ยมไร้ที่พึ่งจึงรับอุปการะไว้ โดยให้ทำหน้าที่ต้อนวัวไปกินหญ้า
ครั้งหนึ่งนายผู้หญิงได้ลงโทษเฆี่ยนตีสาวใช้หยินเหอจนผิวหนังแตกเป็นแผล โดยไม่ได้ให้การรักษาแต่อย่างใด คนเลี้ยงวัวสำนึกในบุญคุณที่หยินเหอคอยเอาใจใส่ ปกติจะเรียกเธอว่าผู้มีคุณ ครั้งนี้เขาเห็นเธอถูกตีได้รับบาดเจ็บรู้สึกไม่สบายใจ ขณะที่เขาเลี้ยงวัวอยู่ที่ทุ่งหญ้าเห็นชายชราคนหนึ่งร่างกายสั่นเทิ้มทำท่าจะล้ม จึงรีบเข้าไปประคอง เนื่องจากไม่มีแรงจึงล้มลงไปด้วยกัน ชายชรากล่าวว่า “ลุงมีหญ้าวิเศษติดตัวมา เมื่อทาที่ขาลุง ลุงก็จะเดินได้” คนเลี้ยงวัวจึงทำตามชายชราบอก ก็ได้ผลจริง ๆ ชายชราเอาหญ้าพิเศษที่เหลือทั้งหมดมอบให้คนเลี้ยงวัว เขาจึงนำไปรักษาแผลให้สาวใช้ด้วยเป็นยาวิเศษทานิดเดียวแผลก็หายทันที
วันหนึ่งชายเลี้ยงวัวเห็นเด็กสาวหน้าตาเศร้าหมองคนหนึ่งเดินไปเดินมาจึงถามถึงสาเหตุ เด็กสาวบอกว่า “เนื่องจากแม่บาดเจ็บต้องการหญ้าพิเศษไปรักษาด่วน แต่ไม่รู้ว่าไปหาได้ที่ไหน?” เขาจึงเอาหญ้าวิเศษมอบให้เธอ เมื่อเธอได้หญ้าวิเศษดีใจมาก รีบนำกลับไปรักษามารดา ซึ่งพอทาแผลก็หายทันที เด็กสาวรู้สึกขอบคุณชายเลี้ยงวัว จึงนำเขาไปพบมารดา มารดาเธอเห็นชายเลี้ยงวัวหน้าตาซื่อ ๆ เป็นคนมีน้ำใจก็รู้สึกชอบ จึงให้คนทั้งสองแต่งงานกันที่กระท่อมนั้น
ความสุขแท้ย่อมมีอุปสรรค ในคืนที่ชายเลี้ยงวัวและหญิงทอผ้าแต่งงานกัน บังเอิญที่บ้านของคหบดีเกิดเหตุร้ายถูกโจรเข้าปล้นคหบดีถูกฆ่าตาย เรื่องรู้ถึงทางการ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นคนไร้หัวคิด ทำคดีส่งเดช เนื่องจากคืนนั้นคนเลี้ยงวัวนำวัวไปเลี้ยงไกลบ้านแล้วไม่ได้กลับ จึงถูกป้ายความผิดว่าเป็นสายให้โจร และถูกทรมานจนต้องยอมรับผิด ยังดีที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงถูกตัดสินเพียงแค่เนรเทศโทษไม่ถึงตาย เมื่อข่าวนี้รู้ถึงหญิงทอผ้า ทำให้เธอเศร้าโศกมากและตัดสินใจที่จะไปตามหาสามี หลังจากทราบสถานที่เนรเทศแล้ว แม้หนทางจะไกลแสนไกลก็ไม่ย่อท้อ เธอเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ขณะที่เขาทั้งสองใกล้จะพบกันแต่ถูกแม่น้ำขวางกั้นไว้ไม่สามารถข้ามไปหากัน ได้แต่ร้องเรียกอยู่คนละฝั่งด้วยน้ำตานองหน้า ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานไม่ทันเท่าไรก็ต้องมาพรากจากกัน มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ทันใดนั้นก็มีนกนางแอ่นฝูงใหญ่ฝูงหนึ่ง บินมาจากขอบฟ้า บินเกาะกลุ่มกันยาวเหยียดทอดเป็นสะพานอยู่เหนือแม่น้ำ คนทั้งสองจึงขึ้นสะพานนกนางแอ่นจากทั้งสองฝั่งวิ่งโผเข้าหากัน พลันทั้งคู่ก็สู่สวรรค์เป็นเทพบุตรเทพธิดา