เมื่อไม่นานมานี้ ที่มณฑลกุ้ยหยัง มี่พี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันสองคน พี่มีชื่อว่าอู๋เหยิน น้องชายชื่อว่าอู๋อี้ พ่อตายตั้งแต่เขาทั้งสองยังเล็ก แม่เป็นผู้เลี้ยงดูอุ้มชูมาจนเติบใหญ่ อู๋เหยินแต่งงานกับนางเมิ่ง ส่วนอู๋อี้แต่งงานกับนางชุย อู๋เหยินเป็นคนมีใจเป็นกุศล นางเมิ่งก็เป็นคนมีสัมมาคารวะ อู๋เหยินและภรรยา จึงเป็นลูกสะใภ้ที่มีความกตัญญูต่อแม่ ส่วนอู๋อี้และนางชุยไม่มีความกตัญญูเลย พี่ชายเคยตักเตือนน้องชายอยู่เสมอ ซึ่งเขาไม่เพียงแต่ไม่เชื่อฟัง ทั้งยังกลับเก็บความไม่พอใจไว้ลึกๆอีกด้วย ส่วนนางชุยผู้หยาบคายไม่พอใจคำตักเตือนเมื่อไหร่ก็แสดงอาการโต้ตอบทันที ด่าทอกระทบกระเทียบบ้าง กระแทกกระทั้นบ้าง จนครอบครัวหาความสงบสุขไม่ได้
ในที่สุด พี่น้องที่คลานตามกันมาเพียงสองคนก็ตกลงต้องแยกครอบครัวกันออกไป ทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษก็แบ่งสรรกันออกไปคนละครึ่ง หน้าที่เลี้ยงดูแม่ผู้ชรานั้นก็แบ่งกันรับผิดชอบคนละสิบวัน สิบวันที่แม่อยู่ในความรับผิดชอบของอู๋เหยินและภรรยาผู้กตัญญูนั้น แม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลด้วยความเคารพ อาหารที่แม่ชอบ ทุกอย่างที่แม่พอใจสองสามีภรรยาจะจัดหามาให้เป็นอย่างดี
แต่สิบวันที่อยู่ในความดูแลของอู๋อี้ผู้น้องและภรรยาผู้หยาบคาย แม่ต้องถูกเอ็ด ถูกตะคอก อาหารที่ใช้เลี้ยงดูก็ทำอย่างประหยัดและเสียไม่ได้ ฉะนั้นสิบวันที่แม่อยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้คนเล็ก แม่จึงซูบผอม หมองมัว เมื่อเป็นเช่นนี้หลายๆครั้งเข้า พี่ชายก็ทนดูไม่ไหวจึงขอให้แม่มาอยู่ประจำกับเขาเสียเลย ไม่ต้องวนเวียนไปอยู่กับน้องชายครั้งละสิบวันอีก แต่หัวใจของผู้เป็นแม่เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าลูกจะร้ายต่อเขาอย่างไร ทิ้งขว้างแค่ไหน แม่ก็ยังคิดถึงลูก อยากไปอยู่ใกล้ๆ ลูก ทุกครั้งที่แม่กลับมาจากบ้านอู๋อี้ แม่จะมีอาการอ่อนเพลีย
วันหนึ่ง อู๋เหยินไปหาน้องชาย แล้วพูดกับเขาว่า อยากจะรับหน้าที่ดูแลแม่เสียเองทั้งหมด พออู๋อี้เจ้าเล่ห์ได้ยินเข้าเช่นนี้ ก็ถือโอกาสโวยวายพี่ชายทันที เขาหาว่าพี่ชายจะเอาหน้าเสียคนเดียว อยากแสดงให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นลูกกตัญญู เพื่อทับถมทำลายเขาและอะไรอีกต่างนานา เป็นอันว่าแม่ยังคงต้องไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างบ้านของลูกทั้งสอง ความเป็นไปในโลกนี้ มองอย่างผิวเผินแล้วจะเห็นความไม่ยุติธรรมมากมาย คนร้ายร่ำรวยเรืองอำนาจ ส่วนคนดีมักจะอาภัพอับจน แต่โดยหลักสัจธรรมแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากเราได้ติดตามดูต่อไป
จนในที่สุด อู๋เหยินยังคงปฏิบัติต่อแม่ด้วยความเคารพกตัญญู แต่ฐานะความเป็นอยู่ฝืดเคืองลง จนกระทั่งการค้าล่มจมสิ้นเนื้อประดาตัวในเวลาต่อมา ส่วนอู๋อี้ผู้อกตัญญูกลับค้าขายรุ่งเรือง ร่ำรวยใหญ่โต ทุกคนที่รู้จักพี่น้องทั้งสองนี้ดี ต่างก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมคนทำดีจึงได้ชั่ว ส่วนคนทำชั่วกลับได้ดี แม่ได้แต่สวดมนต์ภาวนาขอให้พระคุ้มครอง รักษาอู๋เหยินด้วย เมื่อถึงกำหนดที่แม่จะต้องมาอยู่กับอู๋เหยินอีกในครั้งนี้อู๋เหยินรีบห่อผ้าห่มผืนเดียวที่เหลืออยู่ตรงไปโรงรับจำนำแต่ด้วยความบังเอิญแม่มาพบเข้าพอดี แม่จึงตรงเข้ากอดกันร้องไห้ด้วยความอาดูร แม่บอกกับอู๋เหยินว่า
"แม่จะกลับไปขออยู่กลับอู๋อี้สิบวันก่อน กำหนดครั้งต่อไปที่เป็นเวรของอู๋อี้ค่อยกลับมาอยู่กับเจ้าใหม่ไม่ต้องกังวลใจต่อแม่" แม่กลับมาถึงบ้านอู๋อี้ในเวลาสายใกล้เที่ยงนางชุยภรรยาของอู๋อี้กำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว มีอาหารคาวหวานที่จัดเตรียมเป็นพิเศษอย่างเต็มคราบหลังจากที่กินอาหารประหยัดๆ มาแล้วถึงสิบวันในระหว่างที่แม่มาอยู่ด้วย "แม่กลับมาทำไมอีกล่ะ" ลูกสะใภ้รีบออกมาจากครัวก่อนที่แม่จะเดินเข้าไปเห็นอาหารพิเศษที่เตรียมไว้
"แม่จะขอกลับมาอยู่ต่ออีกสักสิบวัน" แม่บอกด้วยความเกรงใจ
"อะไรกัน ถึงของบ้านโน้น บ้านโน้นก็ต้องรับผิดชอบซิ จะมาโยนให้ทางนี้ได้ยังไง สมบัติก็แบ่งเท่าๆ กัน ไม่ใช่ว่าทางนี้จะได้มากกว่าเสียเมื่อไหร่ ไม่ได้หรอก ไม่ได้หรอก"
แม่ยืนงงอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยๆ หันกลับออกจากบ้านไป แต่แม่จะไปไหนดี จะกลับไปที่บ้านของอู๋เหยิน แม่ก็สุดจะสงสารสภาพความเป็นอยู่ที่ค่นแค้นของลูก
จะพาตัวไปตามยถากรรม ลูกทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังก็จะต้องได้รับคำติฉินนินทาให้อับอายขายหน้า "อดทนเถิดถึงเขาจะรังเกียจว่าเราอย่างไร เขาก็เป็นลูกสะใภ้ของเราเอง ถึงอย่างไรก็เป็นความอัปยศอดสูที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัว"
แม่คิดดังนี้แล้ว แม่จึงค่อยๆ พาตัวเข้าไปนั่งที่แคร่ไม้ไผ่ด้วยความสงบ นางชุยลูกสะใภ้เห็นว่าแม่สามีดื้ออยู่ จึงกลับเข้าไปในครัวเก็บอาหารพิเศษที่เตรียมไว้ซ่อนเสียให้พ้นตา แล้วเข้าห้องของตัวเอง ปิดประตูเงียบ เวลาบ่ายมากแล้ว แม่จึงถามอู๋อี้ลูกชายว่า "จะกินข้าวเที่ยงกันหรือยัง" ลูกชายจึงไปถามลูกสะใภ้ ก็ได้รับเสียงตะโกนตอบออกมาจากห้องนอนว่า ข้าวสารหมดแล้ว มื้อเที่ยงนี้ไม่มีกิน
ครั้งนี้แม่เดินออกจากบ้านของอู๋อี้โดยไม่ทันคิดอะไรมาก เพราะก่อนออกจากบ้านของอู๋อี้ไปเมื่อเช้านี้ เพื่อจะไปอยู่กับอู๋เหยิน แม่ไม่ได้กินอาหารเช้าไปจากที่นี่เลย จนบัดนี้เวลาบ่ายมากแล้ว แม่จะกลับไปอยู่ที่บ้านอู๋เหยิน แม้จะได้พบแต่ข้าวต้มใสๆ ก้นหม้อก็ยังดี แม่หิวจนเกือบจะเป็นลมอยู่แล้ว ระยะทางจากบ้านของอู๋อี้ เดินไปที่บ้านของอู๋เหยินไม่ไกลนัก แต่ด้วยสังขารของวัยชรา ประกอบกับความหิวโหย แม่เป็นลมล้มลงข้างทาง ก่อนจะถึงบ้านอู๋เหยิน
ขณะนั้นถึงแม้จะเป็นเวลาบ่ายสามโมง แต่ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆตั้งเค้ามาตั้งแต่หลังเที่ยง ฝนกำลังจะตกลงมา อู๋เหยินเจ็บใจตัวเองเหลือเกิน ที่ทำให้ฐานะดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ ทำให้แม่ต้องลำบากใจ ต้องตากหน้ากลับไปขออยู่กับน้องชายอีกสิบวัน เขารู้นิสัยน้องชายและน้องสะใภ้คู่นี้ดี ด้วยความเป็นห่วง อู๋เหยินคิดว่าควรต้องไปดูแม่สักหน่อย แล้วอู๋เหยินก็ได้พบแม่ล้มพับอยู่กับพงหญ้าริมทาง
"แม่...แม่" อู๋เหยินร้องแม่เสียงหลง ฝนที่ตั้งเค้ามานาน เทลงมาอย่างแรง เสียงฟ้าร้องครืน ครืน อู๋เหยินรีบอุ้มแม่เข้าไปหลบฝนและลูกปนไปกับสายฝนที่พรั่งพรูลงมาเหมือนท้องฟ้าแตกสลาย อู๋เหยินกอดแม่เอาไว้แน่น ฝนตกหนักและท้องฟ้าร้องดังเหลือเกิน ทันใดนั้นสายฟ้าสว่างจ้าก็กรีดเป็นทางยาวลงมาตรงหน้า ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงใหญ่ หลังจากนั้นฝนก็หยุด เสียงผู้คนเอะอะโวยวายดังมาจากแถวหมู่บ้านที่อู๋อี้อยู่
"อู๋อี้ถูกฟ้าผ่าตาย..." "ผัวเมียตายทั้งคู่เลย..." "........................." ทรัพย์สมบัติของอู๋อี้ ผู้ตระหนี่ถี่เหนียวสำหรับคนอื่นทุกคน แม้กระทั่งแม่ของตัวเอง ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง อู๋เหยินซึ่งเป็นพี่ชายจึงรับช่วงโดยชอบธรรม หลังฝนตก ฟ้าจะสว่าง เช่นเดียวกัน เมื่อวิบากกรรมผ่านไปชะตาชีวิตก็ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติดีเสมอต้นเสมอปลาย อู๋เหยินและภรรยา เป็นตัวอย่างชีวิตจริงอีกรายหนึ่ง ที่ชาวเมืองกุ้ยหยังหยิบยกมาสรรเสริญ เพื่อสอนลูกหลานมาจนทุกวันนี้